นายชาญวิทย์ อนัคกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พริมา มารีน (PRM) เปิดเผยว่า บริษัทประเมินแนวโน้มการดำเนินงานในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ยังมีทิศทางการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพรวมผลประกอบการของทั้งปี 62 ดีกว่าเป้าหมายที่วางไว้ และมีโอกาสเติบโตสูงที่สุดในรอบ 3 ปี เนื่องจาก PRM มีความแข็งแกร่งของกองเรือที่พร้อมให้บริการแก่ลูกค้าเพิ่มขึ้นรวมเป็น 45 ลำ ส่งผลต่อขีดความสามารถการให้บริการแก่ลูกค้าที่ดียิ่งขึ้น
ขณะที่กลุ่มธุรกิจเรือขนส่งภายในประเทศ และกลุ่มธุรกิจเรือ FSU เป็น 2 กลุ่มธุรกิจหลักที่ขับเคลื่อนการเติบโตของ PRM ในปีนี้ ซึ่งมาจากการขยายกองเรือเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ได้แก่ การเพิ่มเรือขนส่งภายในประเทศจำนวน 6 ลำ ขนาดระวาง 3,000 DWT เพื่อนำมาใช้ทดแทนเรือเก่าบางส่วน และการเพิ่มเรือขนส่งและกักเก็บน้ำมันแบบลอยน้ำ หรือ FSU อีก 3 ลำ รวมทั้งสิ้น 8 ลำ ซึ่งมากกว่าแผนเดิมที่วางไว้ โดยปัจจุบันมีอัตราการใช้บริการเต็ม 100% ทุกลำ
ทั้งนี้ แผนการขยายกองเรือดังกล่าวสอดรับกับโอกาสทางธุรกิจจากความต้องการของลูกค้าในการกักเก็บน้ำมันเพื่อผสมน้ำมันเตากำมะถันต่ำ ซึ่งเป็นไปตามข้อบังคับ IMO2020 ที่กำหนดให้ใช้เชื้อเพลิงกำมะถันต่ำ โดยเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2563 เป็นต้นไป ทำให้อัตราค่าใช้บริการเรือ FSU ปรับตัวเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างชัดเจน ขณะเดียวกัน การเข้าถือหุ้นในบริษัท บิ๊ก ซี จำกัด (Big Sea) ซึ่งเป็นผู้ให้บริการเรือขนส่งปิโตรเลียมภายในประเทศอันดับ 2 ของไทย เพิ่มขึ้นอีก 10% เป็น 80% ในปีนี้ เป็นการเสริมความสามารถเรือขนส่งฯ ในประเทศ และตอกย้ำความเป็นผู้นำผู้ให้บริการเรือขนส่งน้ำมันฯ อันดับ 1 ของประเทศอีกด้วย
"ในปีนี้เราทำได้ดีกว่าแผนงานที่วางไว้ โดยมีปัจจัยมาจากแผนงานบริหารจัดการพอร์ตกองเรืออย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีจำนวนเรือให้บริการที่เพิ่มมากขึ้น ในขณะที่อายุเฉลี่ยกองเรือลดลง เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าและรองรับกับภาพรวมอุตสาหกรรมขนส่งปิโตรเลียมที่ขยายตัวได้ดีกว่าปีที่ผ่านมา รวมถึงการบริหารจัดการเพื่อรักษาอัตราการทำกำไรขั้นต้นให้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี จากการปรับเปลี่ยนรูปแบบสัญญาการบริการให้สอดคล้องกับทิศทางของอุตสาหกรรม จึงทำให้ปีนี้เป็น Growth Mode หรือปีแห่งการเติบโตของ PRM ได้อย่างแท้จริง" นายชาญวิทย์ กล่าว