บมจ.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ (LH)ตั้งเป้าปี 51 ทำยอดขายราว 2.1 หมื่นล้านบาท เติบโต 13.7% จากปี 50 โดยคาดว่าจะมีการส่งมอบบ้านเดี่ยวในปีนี้ 84.8% ของเป้ายอดขาย มูลค่า 1.78 หมื่นล้านบาท ส่วนทาวน์เฮ้าส์ 8.7% เป็นยอดขาย 1.8 พันล้านบาท และคอนโดมิเนียม 6.5% เป็นยอดขาย 1.4 พันล้านบาท
ในปีนี้บริษัทเตรียมเปิดโครงการใหม่ 14 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1.2 หมื่นล้านบาท เป็นบ้านเดี่ยว 7 โครงการ ทาวน์เฮ้าส์ 5 โครงการ และคอนโดมิเนียม 2 โครงการ โดยโครงการทั้งหมดจะอยู่ในกทม.13 โครงการ และ จ.ขอนแก่น 1 โครงการ ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 51 บริษัทมีโครงการที่เปิดดำเนินการอยู่ 34 โครงการ เป็นโครงการในกทม.และปริมณฑล 25 โครงการ และต่างจังหวัด 9 โครงการ
นอกจากนั้น บริษัทยังเตรียมงบลงทุนซื้อที่ดินในกทม.และปริมณฑล ราว 4 พันล้านบาท รองรับโครงการใหม่ในปี 52-53 ส่วนอีก 500-600 ล้านบาทจะลงทุนในบริษัท แอล แอนด์ เอช พร๊อพเพอร์ตี้ จำกัด ซึ่งทำธุรกิจให้เช่าอสังหาริมทรัพย์ โดย LH ถืออยู่ 60% และ GIC ถือ 40%
นายอดิศร ธนนันท์นราพูล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ LH คาดว่า กำไรสุทธิปีนี้น่าจะมีอัตราเติบโตสูงกว่ายอดขาย เนื่องจากบริษัทตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ 31% และค่าใช้จ่ายด้านโฆษณาลดลง โดยคาดว่าอัตรากำไรสุทธิปีนี้จะสูงกว่าปีก่อนที่มีอัตรา 16.9%
"ถ้าเราทำยอดขายได้โต 13%กว่า และทำมาร์จิ้นได้จริงตามที่ตั้งไว้ 31% สูงกว่าปีก่อนที่มี 30.5% ก็เชื่อว่า bottom line (กำไรสุทธิ)ก็จะเติบโตกว่ายอดขาย เราดูแล้วดีมานด์บ้านเดี่ยวจะกลับมาดีขึ้น เพราะตอนนี้ซัพพลายในตลาดลดลง" นายอดิศร กล่าว
นอกจากนี้ ในปี 50 เป็นปีแรกที่บริษัทมีรายได้จากค่าเช่า 49.36 ล้านบาท โดยมาจากการลงทุน บริษัท แอล แอนด์ เอช พร๊อพเพอร์ตี้ ที่มีโครงการอพาร์ตเม้นท์ให้เช่าอยู่ 2 โครงการ ได้แก่ โครงการวิลล่า สาทร อยู่บนถนนนราธิวาสราชนครินทร์ และโครงการแกรนด์ เซ็นเตอร์พ้อยท์ ซอยมหาดเล็กหลวง ย่านราชดำริ ซึ่งเปิดตัวปลายปีที่แล้ว โดยขณะนี้มีอัตราค่าเช่า 70% และ 30-40% ตามลำดับ ดังนั้น ในปี 51 คาดว่าจะมีรายได้จากค่าเช่าเพิ่มขึ้นมาก
นายอดิศร กล่าวว่า ในช่วง 51-53 บริษัท แอล แอนด์ เอช พร๊อพเพอร์ตี้ จะต้องใช้เงินทุนประมาณ 5 พันล้านบาท เพื่อนำไปพัฒนาโครงการอพาร์ตเม้นท์ย่านอโศก บนเนื้อที่ 10 ไร่ โดย LH จะลงทุนประมาณปีละ 500-600 ล้านบาท
*เปิด 14 โครงการใหม่ บ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮ้าส์-คอนโดฯ
ส่วนยอดรับรู้รายได้ของบริษัทปี 51 จะเท่ากับยอดขายที่บริษัทตั้งเป้าไว้ 2.1 หมื่นล้านบาท เพราะบริษัทสร้างบ้านเสร็จก่อนขาย โดยในไตรมาส 1/51 จะเปิด 3 โครงการ ได้แก่ โครงการพฤกษ์ลดา ประชาอุทิศ เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่าโครงการ 760 ล้านบาท โครงการ บ้านใหม่ เทพารักษ์ เป็นทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 680 ล้านบาท และ โครงการมัณฑนา บางนา กม.13 เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่า 1,420 ล้านบาท รวมทั้งยังมีโครงการเดิม 34 โครงการ ก็สามารถทยอยรับรู้รายได้
ในเดือน พ.ค.จะเปิดขายโครงการบ้านใหม่ พระราม 9 วงแหวน เป็นโครงการทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 380 ล้านบาท,เดือน มิ.ย.เปิดโครงการนันทวันที่ จ.ขอนแก่น เป็นบ้านเดี่ยวมูลค่า 370 ล้านบาท, เดือน ส.ค.เปิดโครงการมัณฑนา เทพารักษ์ เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่า 1,340 ล้านบาท, เดือน ก.ย.เปิดโครงการ The Landmark ย่านรัชดา-ลาดพร้าว เป็นทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 430 ล้านบาท
เดือน ต.ค.จะเปิด 5 โครงการ ได้แก่ โครงการมัณฑนา แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่า 2,370 ล้านบาท, โครงการบ้านใหม่ พระราม 2 (2)เป็นทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 540 ล้านบาท ,โครงการชัยพฤกษ์ วงแหวน-รามอินทรา เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่า 590 ล้านบาท, โครงการบ้านใหม่ วงแหวน-รามอินทรา เป็นทาวน์เฮ้าส์ มูลค่า 396 ล้านบาท และ โครงการ The Bangkok ย่านสาทร-ตากสิน เป็นคอนโดมิเนียม มูลค่า 1,110 ล้านบาท
และเดือนพ.ย.จะเปิด 2 โครงการ คือ โครงการ The Room ย่านสุขุมวิท 64 (ซ.11) เป็นคอนโดมิเนียม มูลค่า 290 ล้านบาท และ โครงการมัณฑนา วงแหวน-อ่อนนุช (2) เป็นบ้านเดี่ยว มูลค่า 1,330 ล้านบาท
*ปรับราคาบ้านอีก 2-3% ตามต้นทุน
นายนพร สุนทรจิตต์เจริญ กรรมการและรองผู้จัดการ LH กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะปรับราคาขายบ้านอีก 2-3% ต่อจากปีก่อนที่ได้ปรับขึ้น 2-3% เป็นเพราะต้นทุนวัสุดก่อสร้างเพิ่มขึ้น ประมาณไม่เกิน 8% โดยสินค้าเหล็กเป็นวัสดุหลัก แต่การปรับขึ้นคงไม่ชดเชยต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้หมด อย่างไรก็ดี บริษัทได้สต็อกวัสดุในราคาเดิมก่อนปรับไว้บางส่วน
แนวโน้มตลาดที่อยู่อาศัยในปี 51 จะเป็นตลาดที่เกิดจากความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค จึงคาดว่าการขยายตัวปีนี้จะเพิ่มขึ้น 5-10% จากปีก่อน เป็นเพราะสถานการณ์การเมืองที่ชัดเจนมีผลต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภค ส่วนกรณีที่นายยงยุทธ ติยะไพรัช ประธานสภาผู้แทนราษฎร และสส.สัดส่วนของพรรคพลังประชาชน ถูกตัดสินใบแดงจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)ในวันนี้ เห็นว่าในระยะสั้นจะไม่มีผลกระทบมากนัก
ขณะที่คาดว่าเศรษฐกิจปีนี้จะเติบโต 4.5-5.0% ซึ่งจะมีการลงทุนของภาครัฐในโครงการเมกะโปรเจ็คต์ รวมทั้งอัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มปรับลดลง 0.5-1.0% ส่งผลดีต่อตลาดที่อยู่อาศัยโดยรวม นอกจากนี้ราคาที่ดินยังทรงตัวจากการขยายโครงการของผู้ประกอบการลดลง และความเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อของธนาคาร
แต่ก็ยังมีปัจจัยเสี่ยงที่กระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัย ได้แก่ ราคาน้ำมันสูงจะทำให้ราคาต้นทุนก่อสร้างเพิ่มขึ้นด้วย การเข้มงวดการปล่อยสินเชื่อให้รายย่อยและผู้ประกอบการ
นายนพร กล่าวว่า ในปี 50 การมีการยื่นขอจัดสรรน้อยลง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยว มียอดจัดสรรลดลงมากที่สุด ขณะที่ตลาดบ้านเดี่ยวเป็นตลาดหลักของบริษัท โดยส่วนใหญ่จะเน้นราคา 3-5 ล้านบาท/หลัง เพราะมองว่าบ้านเดี่ยวเป็นความต้องการที่แท้จริง ไม่มีการเก็งกำไร ไม่เเหมือนกับคอนโดมิเนียมและทาวน์เฮ้าส์ แต่บริษัทก็ไม่ได้ทิ้งฐานลูกค้าในกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นฐานกว้างมาก ราคาต่อยูนิตประมาณ 1-3 ล้านบาท
"ผมคิดว่าทุก Product จะดีขึ้นในภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ Real Demand จะกระจายไปทุกกลุ่ม ยิ่งคนรู้ว่าราคาบ้านจะขึ้นก็ยิ่งตัดสินใจเร็วขึ้น เรื่องมาตรการกระตุ้นผมว่าไม่จำเป็น รัฐบาลคุณมีหน้าที่สร้างความมั่นใจผู้บริโภคก็พอแล้ว" นายนพร กล่าว
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--