KTB เผยกำไร Q3/62 ลดลง 18.9% จากงวดปีก่อน หลังตั้งสำรองค่าใช้จ่ายพนักงานกว่า 2 พันลบ. ,สินเชื่อขยายตัวหนุนรายได้โต

ข่าวหุ้น-การเงิน Monday October 21, 2019 07:54 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย (KTB) เปิดเผย ผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2562 ธนาคารและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิ จำนวน 6,355 ล้านบาท ลดลง 18.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หลังมีรายการพิเศษค่าใช้จ่ายสำรองผลประโยชน์พนักงานที่ปฏิบัติงานในช่วงก่อนเกษียณอายุติดต่อกันครบ 20 ปีขึ้นไป ให้ได้รับเงินตอบแทนเท่ากับค่าจ้างอัตราสุดท้าย 400 วัน ตามประกาศคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจที่มีผลบังคับใช้ในไตรมาสนี้ จำนวน 2,374 ล้านบาท

ทั้งนี้ หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว กำไรสุทธิเพิ่มขึ้น 5.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยเพิ่มขึ้นจากทั้งรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ ธนาคารมีรายได้รวมจากการดำเนินงาน 94,029 ล้านบาท เติบโต 7.1% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการขยายตัวอย่างต่อเนื่องของสินเชื่อ 5.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งสินเชื่อรายย่อย สินเชื่อบุคคลและสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่ และสินเชื่อภาครัฐ รวมทั้งกำไรจากเงินลงทุน

สำหรับในช่วง 9 เดือนแรกปี 2562 ธนาคารและบริษัทย่อย มีกำไรสุทธิเท่ากับ 21,825 ล้านบาท ลดลง 2.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน หากไม่รวมรายการพิเศษดังกล่าว กำไรสุทธิ 9 เดือน เพิ่มขึ้น 9.5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ที่ไม่รวมรายได้จากการขายทอดตลาดทรัพย์สินหลักประกันจำนองในไตรมาส 1/2562 เท่ากับ 3.14% เทียบกับ 3.11% ในช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการบริหารจัดการต้นทุนทางการเงิน รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิเพิ่มขึ้น 3.3% จากกำไรสุทธิจากเงินลงทุนและกำไรจากการขายทรัพย์สินรอการขาย แม้ยังคงได้รับผลกระทบจากการยกเว้นค่าธรรมเนียมการโอนเงินรายย่อยผ่านช่องทางดิจิทัล และมีค่าธรรมเนียมBancassurance ที่ลดลง

นายผยง กล่าวอีกว่า ธนาคารมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินเชื่อด้อยคุณภาพ (Coverage Ratio) ของงบการเงินรวม ณ 30 กันยายน 2562 เพิ่มขึ้นเป็น 128.07% จาก 125.74% ณ 31 ธันวาคม 2561 มี NPL Ratio-Gross เท่ากับ 4.58% และมี NPL Ratio-Net อยู่ที่ 1.92% ทั้งนี้ ธนาคารมีอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่ 1 และอัตราส่วนเงินกองทุนทั้งสิ้นต่อสินทรัพย์ถ่วงน้ำหนักตามความเสี่ยง (งบการเงินเฉพาะธนาคาร) เท่ากับ 14.54% และ 19.63% ตามลำดับ ซึ่งอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับเกณฑ์ของธนาคารแห่งประเทศไทย


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ