นายธนวัฒน์ ตรีวิศวเวทย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) เปิดเผยว่า โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี สปป.ลาว กำลังการผลิต 1,280 เมกะวัตต์ (MW) จะเริ่มจำหน่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในวันที่ 29 ต.ค.ที่จะถึงนี้ โดยจะขายไฟฟ้าให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) จำนวน 1,220 เมกะวัตต์ และขายให้กับการไฟฟ้าของ สปป.ลาว จำนวน 60 เมกะวัตต์ ซึ่งบริษัทได้ถือหุ้นโรงไฟฟ้าดังกล่าวในสัดส่วน 37.50%
ทั้งนี้ คาดว่าการ COD ของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีจะเป็นปัจจัยหนุนที่ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิในปี 63 จะมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มขึ้นไปแตะระดับตัวเลขสองหลัก หรือไม่ต่ำกว่า 10% จากการรับรู้ส่วนแบ่งกำไรเข้ามาในปี 63 เต็มปี ทำให้อัตรากำไรสุทธิในปี 63 จะเพิ่มขึ้นจากปี 61 ที่มีอัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 7% และในปีนี้คาดว่าจะอยู่ในตัวเลขหลักเดียว
นางมัณฑนา เอื้อกิจขจร รองกรรมการผู้จัดการ งานวางแผนธุรกิจ CKP กล่าวว่า รายได้จากการ COD ของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีเต็มปีคาดว่าจะอยู่ที่ 1.3-1.4 หมื่นล้านบาท โดยที่รายได้ในแต่ละไตรมาสของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีอาจจะมีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับปริมาณน้ำและปริมาณการผลิตไฟฟ้าในแต่ละช่วง โดยในช่วงไตรมาส 3 ของทุกปีจะเป็นช่วงหน้าน้ำ ซึ่งจะมีปริมาณน้ำที่มาก ทำให้โรงไฟฟ้าสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากตามไปด้วย ส่งผลให้รายได้ในไตรมาส 3 จะเป็นไตรมาสที่บริษัทประเมินว่าโรงไฟฟ้าจะมีรายได้มากที่สุดของปี ส่วนอัตรากำไรสุทธิของโรงไฟฟ้าไซยะบุรีทั้งปีคาดว่าเฉลี่ยอยู่ที่ 12-15%
นายธิติพัฒน์ นานานุกูล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานการเงินบัญชี CKP กล่าวว่า รายได้ในปี 62 คาดว่าจะอยู่ที่ 9,000-10,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 61 ที่มีรายได้ 9.15 พันล้านบาท โดยครึ่งปีแรกที่ผ่านมาบริษัทมีรายได้ 4.7 พันล้านบาท ซึ่งรายได้ในปีนี้ได้ปัจจัยหนุนจากโรงไฟฟ้าน้ำงึม 2 ขนาดกำลังการผลิต 615 เมกะวัตต์ เป็นหลัก แม้ว่าในไตรมาส 3/62 จะมีปริมาณน้ำไหลเข้าระบบจำนวนน้อย รับผลกระทบจากปัญหาภัยแล้ง อย่างไรก็ตามในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมามีปริมาณน้ำที่ไหลเข้าสู่ระบบเป็นจำนวนมากสำรองไว้เพียงพอต่อการผลิตไฟฟ้า และในช่วงไตรมาส 4/62 การเริ่ม COD ของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี ในช่วงปลายเดือนต.ค.ที่จะถึงนี้ จะเข้ามาสนับสนุนกำไรเป็นหลัก จากการบันทึกส่วนแบ่งกำไรตามสัดส่วนการถือหุ้นเข้ามา
นายธนวัฒน์ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างศึกษาการลงทุนโรงไฟฟ้าพลังน้ำในประเทศลาวและเมียนมา ซึ่งเป็นประเทศที่มีศักยภาพในด้านภูมิศาสตร์ของแหล่งน้ำที่สามารถเข้าไปลงทุนได้ โดยที่การลงทุนในลาวจะมองไปที่ลาวตอนบนของแม่น้ำโขง ที่เป็นช่วงที่ยังมีความลาดชันของเส้นทางน้ำ ส่วนในเมียนมา บริวณที่น่าสนใจจะอยู่บริเวณแม่น้ำสาละวิน ซึ่งถือเป็นทำเลที่มีศักยภาพในการเข้าไปลงทุน เพราะมีปริมาณไหลของน้ำมาก ทำให้สามารถผลิตไฟฟ้าได้จำนวนที่มากตามไปด้วย
นอกจากนี้บริษัทยังสนใจการลงทุนโครงการโซลาร์รูฟท็อป และโรงไฟฟ้าประเภท SPP ตามแผน PDP2018 ของกระทรวงพลังงาน เพื่อที่จะทำให้เป้าหมายกำลังการผลิตไฟฟ้าติดตั้งของบริษัทในปี 68 เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเป้าไว้ 5,000 เมกะวัตต์ จากปัจจุบันที่มีกำลังผลิตไฟฟ้าติดตั้งอยู่ที่ 2,167 เมกะวัตต์ ซึ่งคิดเป็นกำลังการผลิตไฟฟ้าตามสัดส่วนการถือหุ้นที่ 939 เมกะวัตต์ ซึ่งสัดส่วนของโรงไฟฟ้าส่วนใหญ่มากกว่า 50% ยังคงเป็นโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำเป็นหลัก