นางชวินดา หาญรัตนกูล กรรมการผู้จัดการ บลจ.กรุงไทย เปิดเผยว่า บริษัทออกกองทุนเปิดกรงไทย ก่อการดี (KT-ESG) และ กองทุนเปิดกรุงไทย ก่อการดี เพื่อการเลี้ยงชีพ (KT-ESGRMF) เป็นการสานเจตนารมณ์การสร้างสังคมที่ยั่งยืน ที่มุ่งลงทุนบริษัทจดทะเบียนที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมภิบาล (ESG: Environmental,Social and Governance) โดยจะใช้กลยุทธ์แบบ Passive เพื่อสร้างผลตอบแทนให้ใกล้เคียงกับดัชนีผลตอบแทนรวม อีเอสจีไทยพัฒน์ (Thaipat ESG Index :TRI) ที่มีการลงทุนหุ้น 52 ตัว ทั้งนี้ ถือว่าเป็นกองทุนลงทุน ESG กองแรกของบลจ.กรุงไทย
บลจ.กรุงไทย ได้กระจายการลงทุนไปตามดัชนีผลตอบแทนรวม อีเอสจี ไทยพัฒน์ ที่มีการลงทุน 52 ตัว โดยใช้กลยุทธ์แบบ equal weighted ทั้งนี้ ผลตอบแทน 1 ปีย้อนหลัง ถึงวันที่ 18 ก.ย.62 TRI มีอัตราผลตอบแทน 10.2% ชนะดัชนี SET Index ที่มีผลตอบแทน 8.6% ส่วนในช่วง 3 ปีย้อนหลัง TRI มีผลตอบแทนเฉลี่ย 7.9% /ปี SET Index เฉลี่ย 6.6% /ปี ทั้งนี้ มีน้ำหนักการลงทุนกลุ่มการเงิน 17% กลุ่มพลังงานและ Utility 16% และกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
ดัชนีอีเอ็มจีไทยพัฒน์ จะใช้วิธีพิจารณาคัดเลือกหลักทรัพย์ จากปัจจัยผลการดำเนินของบริษัทที่ต้องมีกำไรติดต่อกัน 2 รอบปีบัญชีล่าสุด รวมถึงผ่านการคัดกรองเรื่องคุณสมบัติ ESG จากสถาบันไทยพัฒน์ที่จะต้องปลอดจากการกระทำความผิด โดยที่บริษัทหรือคณะกรรมการ หรือผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต้องไม่ถูกสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวโทษหรือเปรียบเทียบปรับในรอบปีประเมิน รวมถึงมีการกระจายการถือหุ้นโดยผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free Float) ที่เป็นธรรมและเหมาะสมเป็นไปตามที่ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กำหนด
กองทุนเปิดกรุงไทย ก่อการดี มีมูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท เสนอขายครั้งแรก (IPO) ในวันที่ 21-29 ต.ค. 62 ส่วนกองทุนเปิดกรุงไทย ก่อการดี เพื่อการเลี้ยงชีพ มูลค่าโครงการ 1,000 ล้านบาท คาด IPO กลางพ.ย.62
นายสมชัย อมรธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุนและลูกค้าสัมพันธ์ บลจ. กรุงไทย คาดดัชนี SET Index สิ้นปีนี้ที่ 1,700 จุด ซึ่งมองว่าความผันผวนไม่มาก จะเห็นว่าตลาดปรับลงก็จะมีแรงซื้อจากกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF)
ส่วนปี 63 คาดดัชนี SET จะปรับขึ้นไปที่ 1,800 จุด เชื่อว่าภาพเศรษฐกิจไทยน่าจะดีขึ้น สงครามการค้าน่าจะคลี่คลายมากขึ้น งบประมาณปี 63 เริ่มเข้ามา คาดการณ์กำไรบริษัทจดทะเบียน เติบโต 8-9% แนะนักลงทุนกระจายความเสี่ยงสินทรัพย์ ขณะที่มองกลุ่มส่งออกดีและกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ที่ยังจะได้รับประโยชน์จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
ทั้งนี้ ประเมินเศรษฐกิจไทยในปีหน้าเติบโต 3.4% จากปีนี้คาดโต 2.8% อัตราดอกเบี้ยน่าจะทรงตัว 1.50% หรือลดลง มาที่ 1.25%และค่าเงินบาทแข็งค่า หรืออาจหลุด 30 บาท/ดอลลาร์บางช่วง