นางสุนิต วิสุทธิโกศล กรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานวาณิชธนกิจ-ด้านตลาดทุน บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ของ บมจ.เอสทีซี คอนกรีตโปรดัคท์ (STC) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) นับหนึ่งไฟลิ่ง STC เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ตามแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุน (IPO) ให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรก จำนวน 148,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็น 26.06% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนครั้งนี้
ทั้งนี้ STC เตรียมเดินหน้าจัดงานโรดโชว์นำเสนอข้อมูลสรุปการเสนอขายหุ้น IPO ในช่วงปลายเดือน ต.ค.-ต้น พ.ย.62 เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในธุรกิจ และโอกาสการเติบโตในตลาดทุน มั่นใจ จะได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยม พร้อมเดินหน้าตามแผนเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ภายในปี 62
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุน ทางบริษัทฯ จะนำไปชำระคืนเงินกู้จากสถาบันการเงิน และ/หรือเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินการของบริษัทฯ เพื่อเพิ่มศักยภาพธุรกิจให้แข็งแกร่งขึ้น พร้อมรับการขยายตัวของอุตสาหกรรมงานก่อสร้าง งานระบบระบายน้ำ งานนิคมอุตสาหกรรม และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ในเมืองพัทยา และพื้นที่เชื่อมโยง จังหวัดชลบุรี และจังหวัดใกล้เคียงในเขตภาคตะวันออกทีกำลังขยายตัว และโอกาสจากโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC)
นายเอกชัย ชัยตระกูลทอง กรรมการผู้จัดการ STC เปิดเผยว่า บริษัทเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป (Pre-cast Concrete) ทุกประเภท และคอนกรีตผสมเสร็จ (Ready-Mixed Concrete) ภายใต้เครื่องหมายการค้า "STC" พร้อมทั้งให้บริการอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ปัจจุบัน มีโรงงานผลิต 4 แห่ง ได้แก่ พัทยา 1 พัทยา 2 หนองปรือ และนาวัง ซึ่งครอบคลุมพื้นที่กลุ่มลูกค้าเป้าหมาย โดยบริษัทได้มีการลงทุนก่อสร้างโรงงานนาวัง และติดตั้งเครื่องจักรใหม่ที่มีประสิทธิภาพ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์คอนกรีต โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็กและบ่อพักขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นการรองรับความต้องการของลูกค้าจากนโยบายการลงทุนใน EEC ของภาครัฐบาล และภาคเอกชน
ทั้งนี้ เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในอนาคต STC เดินหน้าเข้ามาระดมทุนจดทะเบียนใน mai เพื่อใช้ต่อยอดทางธุรกิจ โดยจะใช้ชำระเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินในจำนวนที่เหมาะสมเพื่อลดภาระดอกเบี้ยและสร้างประสิทธิภาพในการจัดการเงินทุนให้มากที่สุด และ/หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนเพื่อรองรับการขยายตัวทางของธุรกิจและรองรับโอกาสจากโครงการใน EEC
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนลงทุนในโรงงานนาวัง ระยะที่ 3 ซึ่งได้เริ่มลงทุนโรงงานนาวังระยะที่ 1 และระยะที่ 2 ไปก่อนหน้านี้ ส่งผลให้ยอดขายและผลกำไรของบริษัทฯ เพิ่มสูงขึ้น ดังนั้นจึงมีแผนลงทุนในระยะที่ 3 อีก เพื่อขยายกำลังการผลิตให้เพียงพอต่อความต้องการผลิตภัณฑ์คอนกรีตที่จะขยายตัวอย่างต่อเนื่องในอนาคต คาดว่าจะใช้เงินลงทุนประมาณ 120 ล้านบาท เพื่อซื้ออุปกรณ์และเครื่องจักร โดยจะมีกำลังการผลิตประมาณ 400 ลูกบาศก์เมตรต่อวัน คาดว่าจะเริ่มลงทุนภายในปี 2564 ทั้งนี้ แหล่งเงินทุนที่ใช้ในการลงทุนในโรงงานนาวัง ระยะที่ 3 ดังกล่าว คาดว่าจะมาจากเงินทุนหมุนเวียนของกิจการในอนาคต
สำหรับผลประกอบการงวด 6 เดือนแรกของปี 62 บริษัทมีรายได้รวม 196.22 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 15.35% เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปีก่อนอยู่ที่ 170.10 ล้านบาท กำไรขั้นต้น 58.69 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.85% เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปีก่อนอยู่ที่ 44.85 ล้านบาท
กำไรสุทธิ 8.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 182.53% เมื่อเทียบกับงวดครึ่งปีแรกของปีก่อนอยู่ที่ 3.14 ล้านบาท อัตรากำไรขั้นต้นเมื่อเทียบกับปี 61 สูงขึ้นมาอยู่ที่ 30.04% และ 26.50% ตามลำดับ อัตรากำไรสุทธิเมื่อเทียบกับปี 2561 สูงขึ้นอยู่ที่ 4.53% และ 1.85% ตามลำดับ เนื่องจากการลงทุนที่เพิ่มขึ้นของภาครัฐ สนับสนุนให้รายได้จากผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูปประเภทท่อระบายน้ำคอนกรีตเสริมเหล็ก และบ่อพักน้ำ โดยเฉพาะสินค้าท่อระบายน้ำรูปสี่เหลี่ยมขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นค่อนข้างสูง ได้รับการตอบรับเพิ่มขึ้น
ประกอบกับ บริษัทสามารถบริหารจัดการการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานในเขตพื้นที่เมืองพัทยา จังหวัดชลบุรี และพื้นที่ใกล้เคียงที่ชัดเจนมากขึ้น ตามนโยบาย EEC ทำให้มีความต้องการผลิตภัณฑ์จากบริษัทฯ มากขึ้น
สัดส่วนรายได้ในงวด 6 เดือนแรก สิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิ.ย.62 มีรายได้จากผลิตภัณฑ์คอนกรีตสำเร็จรูป 73.11% รายได้จากคอนกรีตผสมเสร็จ 23.24% รายได้จากการให้บริการ 3.21% และรายได้อื่นๆ 0.44% ของรายได้รวม
"STC เป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจคอนกรีตรายใหญ่ในจังหวัดชลบุรี ที่มีสินค้า และบริการครอบคลุมมากที่สุด เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าในโซนภาคตะวันออก พร้อมขยายโอกาสการเติบโตให้สอดรับกับนโยบายการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ของภาครัฐ ซึ่งเป็นการผลักดันโครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น โครงการถนนรองรับ EEC โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3สนามบิน (ดอนเมือง สุวรรณภูมิ อู่ตะเภา) โครงการท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 เป็นต้น การลงทุนของภาครัฐดังกล่าว จะหนุนให้เกิดการก่อสร้างของภาคเอกชน เช่น นิคมอุตสาหกรรม อาคารพาณิชย์ เพิ่มเติม โดยปัจจัยเหล่านี้จะสนับสนุนให้มีความต้องการสินค้าของ STC มากขึ้น เนื่องจากโรงงานของบริษัทตั้งอยู่ในทำเลที่มีศักยภาพ การขนส่งเดินทางสะดวก สามารถควบคุมค่าขนส่งได้เป็นอย่างดี สินค้ามีคุณภาพ ได้รับการยอมรับ จึงเป็นที่มาของแผนการขยายโรงงานที่นาวัง เพื่อรองรับงานในมือที่เพิ่มขึ้น และโอกาสการเติบโตในระยะยาว" นายเอกชัย กล่าว