นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรรมการผู้อำนวยการสายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า แนวโน้มดัชนีหุ้นไทยเช้านี้น่าจะเคลื่อนไหวในกรอบแคบ หลังยังไม่มีปัจจัยใหม่ที่มีนัยสำคัญต่อตลาดเข้ามามากนัก โดยในส่วนของปัจจัยต่างประเทศ เมื่อคืนนี้นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ จะออกมาระบุว่ามีความเป็นไปได้ที่สหรัฐและจีนจะบรรลุข้อตกลงในการยุติการทำสงครามการค้า หลังการเจรจาการค้ามีความคืบหน้าอย่างมาก แต่ก็น่าจะยังไม่ได้เห็นข้อยุติในระยะเวลาอันสั้น ตลาดน่าจะยังรอดูการเจรจาที่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงเดือนพ.ย.อีกครั้ง ทำให้ดัชนีดาวโจนส์ที่ปิดเมื่อคืนนี้ และดาวโจนส์ฟิวเจอร์สเช้านี้ ก็ไม่ได้ปรับขึ้นมากนัก
ส่วนปัจจัยในประเทศ ทั้งตัวเลขการส่งออกเดือนก.ย.ที่ออกมาล่าสุดเมื่อวานนี้ และตัวเลขเศรษฐกิจต่าง ๆ ก็ยังไม่ดีมากนัก จะมีเพียงสัญญาณบวกในเชิงกระแสจากการที่รัฐบาลจะลงนามกับเอกชน เพื่อดำเนินโครงการก่อสร้างรถไฟความความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ในวันที่ 24 ต.ค.นี้ ขณะที่การประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้ที่คาดว่าจะหารือเรื่องมาตรการชิมช็อปใช้ เฟส 2 ก็น่าจะช่วยกระตุ้นการลงทุนกลุ่มค้าปลีกได้บ้าง แต่ไม่ได้ช่วยหนุนภาพรวมดัชนีให้เคลื่อนไหวมากนัก
สำหรับการประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/62 ของกลุ่มแบงก์ที่ออกมา มีกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นราว4.8% จากไตรมาสก่อน และ 1.8% จากงวดปีก่อน ภาพรวมถือว่าดีจากที่คาดว่าจะชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการมีกำไรจากการขายเงินลงทุนด้วย อย่างไรก็ตามแม้ว่าราคาหุ้นกลุ่มแบงก์จะปรับลดลงมากแล้ว แต่ก็ยังมีแรงกดดันจากกระแสในเชิงลบที่ยังไม่หมด รวมถึงแนวโน้มดอกเบี้ยที่ยังมีโอกาสปรับลดลงได้อีกครั้งในปีนี้ก็จะยังกดดันต่อการลงทุนในกลุ่มแบงก์ด้วย
พร้อมมองแนวรับที่ 1,615 จุด และแนวต้านที่ 1,625 จุด