นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บล.บัวหลวง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย หน่วยลงทุนใหม่ของกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์อินเทอร์เน็ต จัสมิน (JASIF) เปิดเผยว่า ในวันที่ 7-13 พฤศจิกายน 2562 (เฉพาะวันทำการ) ตั้งแต่เวลา 09.00 – 16.00 น. กองทุน JASIF จะเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มทุน ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนตามที่ปรากฏรายชื่อในสมุดทะเบียน (Record Date) เมื่อวันที่ 15 ตุลาคมที่ผ่านมา ได้ใช้สิทธิจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนได้ที่สำนักงานใหญ่ของบล.บัวหลวง ซึ่งได้รับการแต่งตั้งเป็นตัวแทนรับจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุนของกองทุนฯ (RO Agent) โดยกำหนดอัตราส่วนจัดสรรหน่วยลงทุนใหม่แก่ผู้ถือหน่วยเดิมที่มีสิทธิจองซื้อที่ 2.2 หน่วยลงทุนเดิม ต่อ 1 หน่วยลงทุนใหม่ ที่ราคาเสนอขาย 9 บาทต่อหน่วย
ทั้งนี้ มีความมั่นใจว่าการเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มทุนของกองทุน JASIF ครั้งนี้ ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีสิทธิจองซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มทุน มีความพร้อมที่จะใช้สิทธิในครั้งนี้ เนื่องจากกองทุน JASIF จะระดมทุนเพื่อเข้าลงทุนเพิ่มเติมในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานประเภททรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสง (Optical Fiber Cable) เพิ่มเติมครั้งที่ 1 และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 จะเป็นการเพิ่มพอร์ตทรัพย์สินให้ครอบคลุมทั่วประเทศมากยิ่งขึ้น ซึ่งจะสามารถตอบสนองความต้องการการใช้อินเทอร์เน็ตที่มีแนวโน้มขยายตัวในอนาคต โดยคาดว่าในปี 2561 – 2566 แนวโน้มความต้องการใช้ระบบอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์ในประเทศไทย จะมีอัตราเติบโตเฉลี่ยปีละ 4.4% สูงกว่าบางประเทศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก อาทิ เวียดนาม ออสเตรเลีย จีน (ผลการศึกษาโดย Media Partners Asia)
ด้านนายพรชลิต พลอยกระจ่าง รองกรรมการผู้จัดการ Head of Real Estate & Infrastructure Investment บลจ.บัวหลวง ในฐานะบริษัทจัดการกองทุน JASIF เปิดเผยว่า กองทุน JASIF จะเข้าลงทุนในกรรมสิทธิ์ทรัพย์สินกิจการโครงสร้างพื้นฐานประเภททรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสง (Optical Fiber Cable) เพิ่มเติมครั้งที่ 1 จำนวนไม่เกิน 700,000 คอร์กิโลเมตร และจัดหาผลประโยชน์จากทรัพย์สินที่ลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 จาก บมจ.ทริปเปิลที บรอดแบนด์ (TTTBB) มูลค่ารวมทั้งสิ้นไม่เกิน 38,000 ล้านบาท (ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มและค่าใช้จ่ายต่าง ๆ เพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่ม)
โดยกองทุน JASIF จะเพิ่มทุนจดทะเบียนรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 24,629 ล้านบาท จากเดิมที่มีทุนจดทะเบียน 54,183.8 ล้านบาท จะเพิ่มเป็นไม่เกิน 78,812.8 ล้านบาท โดยการออกและเสนอขายหน่วยลงทุนใหม่ จำนวนไม่เกิน 2,500 ล้านหน่วย ให้แก่ผู้ถือหน่วยลงทุนเดิมที่มีรายชื่อปรากฏในสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุนตามสัดส่วนการถือหน่วยลงทุน และขอสินเชื่อจากสถาบันการเงินรวมทั้งสิ้นไม่เกิน 18,160 ล้านบาท เพื่อใช้เป็นเงินทุนส่วนหนึ่งในการซื้อกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใหม่และใช้ชำระภาษีมูลค่าเพิ่มจากการเข้าซื้อทรัพย์สินครั้งนี้
ทั้งนี้ ภายหลังกองทุนฯ เข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 จะทำให้ประมาณการเงินปันส่วนแบ่งกำไรต่อหน่วยลงทุน (Cash Distribution Per Unit หรือ DPU) สำหรับช่วงเวลา 1 มกราคม – 31 ธันวาคม 2563 เพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 1.0387 บาทต่อหน่วย จากเดิมอยู่ที่ประมาณ 0.9924 บาทต่อหน่วย (บนสมมติฐานที่ออกหน่วยลงทุนใหม่ของกองทุนฯ จำนวน 2,500 ล้านหน่วย)
"การเข้าลงทุนเพิ่มเติมครั้งที่ 1 จะทำให้กองทุน JASIF มีขนาดทรัพย์สินที่ใหญ่ขึ้นและมีโอกาสให้ผลตอบแทนที่ดีขึ้นแก่ผู้ถือหน่วยลงทุน โดยกองทุนฯ จะนำทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มร้อยละ 80 หรือไม่เกิน 560,000 คอร์กิโลเมตร ให้เช่าแก่ TTTBB เพื่อใช้ดำเนินกิจการ ส่วนทรัพย์สินเส้นใยแก้วนำแสงส่วนเพิ่มที่เหลืออีกร้อยละ 20 หรือไม่เกิน 140,000 คอร์กิโลเมตร จะได้รับการประกันรายได้ค่าเช่าในกรณีที่ยังไม่มีผู้เช่า ซึ่งจะช่วยเพิ่มความมั่นคงด้านรายได้แก่กองทุนฯ นอกจากนี้ TTTBB ยังป็นผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจโทรคมนาคมมานานกว่า 20 ปี และเป็นบริษัทย่อยของบมจ.จัสมิน อินเตอร์เนชั่นแนล (JAS) ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ให้บริการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงรายใหญ่ในประเทศไทย โดยมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 29 ในปี 2558 เป็นร้อยละ 32 ในเดือนธันวาคม 2561 (ข้อมูลจาก Media Partners Asia) จึงเชื่อว่าการเสนอขายหน่วยลงทุนเพิ่มทุนครั้งนี้จะได้รับการตอบรับที่ดี" นายพรชลิต กล่าว