โบรกเกอร์ แนะนำ"ซื้อ"หุ้น บมจ.ช.การช่าง (CK) หลังคาดได้รับงานใหญ่ราว 5-6 หมื่นล้านบาท จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ที่เอกชนผู้ดำเนินโครงการลงนามสัญญาร่วมทุนกับภาครัฐในวันนี้ (24 ต.ค.) ช่วยหนุนงานในมือ (Backlog) เพิ่มขึ้นแตะ 1 แสนล้านบาทได้อีกครั้งหลังในช่วง 2 ปีที่ผ่านมามีงานใหม่เข้ามาน้อย
นอกจากนี้ ในปีหน้ามีโอกาสได้รับงานใหม่เข้ามาเพิ่ม ทั้งงานในและต่างประเทศ โดยในต่างประเทศ เป็นงานก่อสร้างเขื่อนในลาว มูลค่าไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท และงานก่อสร้างทางด่วนในเมียนมามูลค่างานหลักหมื่นล้านบาท ส่วนในประเทศมีโครงการต่อเนื่องของกระทรวงคมนาคม ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ โครงการรถไฟฟ้าสายสีแดงส่วนต่อขยาย
อีกทั้งโครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ที่คณะกรรมการคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนโครงการดังกล่าวได้กลับมาพิจารณาข้อเสนอของกลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด และพันธมิตรที่ CK ร่วมทุนด้วยตามคำสั่งศาลปกครอง ก็มีลุ้นได้งาน
พักเที่ยงราคาหุ้น CK อยู่ที่ 22.80 บาท ลดลง 0.60 บาท หรือ 2.56% ขณะที่ดัชนีหุ้นไทย ลดลง 0.05%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) เอเซีย พลัส ซื้อ 34.00 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 30.00 ดีบีเอส วิคเคอร์สฯ ซื้อ 28.00
นายประสิทธิ์ รัตนกิจกมล ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า CK มีโอกาสได้งานโยธาและงานระบบราง มูลค่า 1.2 แสนล้านบาท จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่วันนี้กลุ่มกิจการร่วมค้าบริษัทเจริญโภคภัณฑ์โฮลดิ้ง จำกัด (ซีพี) และพันธมิตร ภายใต้ชื่อกลุ่ม CPH จะลงนามสัญญาร่วมทุนกับภาครัฐ ขณะที่ CK ได้เข้าร่วมทุนในโครงการนี้สัดส่วน 5% เท่ากับ บมจ.อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเม้นต์ (ITD) ที่เป็นบริษัทผู้รับเหมาอีกราย จึงคาดว่าทั้ง CK และ ITD จะรับงานฝ่ายละครึ่ง หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท
ทั้งนี้ จากงานดังกล่าวก็จะช่วยเติมมูลค่างานในมือ (Backlog) ของ CK ให้กลับมาแตะระดับ 1 แสนล้านบาทได้ จาก ณ สิ้นไตรมาส 2/62 มี Backlog อยู่ 3.8 หมื่นล้านบาท และมีงานรอเซ็นสัญญา 1.2 หมื่นล้านบาท รวม 5 หมื่นล้านบาท หลังในช่วง 2 ปีนี้งานในมือของ CK ลดลงตามความก้าวหน้าของงาน ขณะที่งานใหม่มีเข้ามาน้อย ซึ่งจะทำให้ CK รับรู้รายได้ไม่เต็ม 2 ปี บนประมาณการมีรายได้ 3 หมื่นล้านบาทต่อปี ดังนั้นการได้งานในโครงการนี้ทำให้ CK มีความมั่นคงมากขึ้น
นอกจากนี้ CK ยังมีงานเข้าประมูลใหม่ในปีหน้าทั้งงานในต่างประเทศและในประเทศ ได้แก่ งานสร้างเชื่อนในลาว หลังจากที่เขื่อนไซยะบุรีได้เตรียมจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) ในปลาย ต.ค. ขณะที่ บมจ.ซีเค พาวเวอร์ (CKP) ซึ่งเป็นบริษัทลูก อยู่ระหว่างเจรจาลงทุนเขื่อนพลังน้ำแห่งใหม่ และสำรวจพื้นที่ โดยเป็นโครงการขนาดใหญ่หลักแสนล้านบาท รวมทั้ง บมจ.ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ (BEM) ซึ่งเป็นบริษัทลูก จะเข้าไปลงทุนทางด่วนในเมียนมามูลค่าหลักหมื่นล้านบาทด้วย
ส่วนงานในประเทศ มีโอกาสจากโครงการค้างท่อของกระทรวงคมนาคม ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โครงการสายสีม่วงใต้ โครงการรถไฟทางคู่ เฟส 2 ซึ่ง CK มีความถนัดงานเหล่านี้อยู่แล้ว รวมทั้ง CK มี Hidden Asset จากบริษัทลูก ได้แก่ CKP , BEM ที่สร้างเงินส่วนแบ่งกำไร และเงินปันผลให้ CK และ บมจ.ทีทีดับบลิว (TTW) ที่รับรู้ในรูปเงินปันผล เพราะถือหุ้นต่ำกว่า 20% โดยในไตรมาส 2/62 และไตรมาส 3/62 รับรู้เงินปันผลได้ 232 ล้านบาท/ไตรมาส ยังไม่นับรวมการขายเงินลทุนในบริษัทลูก หากมีการขายออกมาจะได้รับ Capital Gain ดังนั้น จึงแนะนำ"ซื้อ"ให้ราคาเหมาะสมที่ 34 บาท ซึ่งปัจจุบันยังมี Upside อยู่มาก
ด้านนายวีระวัฒน์ วิโรจน์โภคา ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า ในระยะสั้น CK จะได้รับงานมูลค่ามาก หลังจากวันนี้มีการลงนามสัญญาโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน จะช่วยหนุน Backlog ที่มีค่อนข้างน้อยให้กลับมาเพิ่มสูงขึ้น โดยคาดว่าจะได้รับงานนี้ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท จากปัจจุบันมีงานในมือ 3.9 หมื่นล้านบาท หากได้งานใหม่ดังกล่าวจะทำให้ Backlog เพิ่มขึ้นใกล้ 1 แสนล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมีแนวโน้มจะมีงานภาครัฐจะออกมาต่อเนื่องในปีหน้า ได้แก่ โครงการพัฒนาสนามบินอู่ตะเภาและเมืองการบินตะวันออก ที่ CK ร่วมทุนกับกลุ่มบริษัท ธนโฮลดิ้ง จำกัด ที่มีมูลค่างานก่อสร้างประมาณ 8 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟไทย-จีน มูลค่า 5 หมื่นล้านบาท โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ โครงการรถไฟสายสีแดงส่วนต่อขยาย
ทั้งนี้ ประมาณการกำไรปกติในปี 62 ของ CK ที่ 1.5 พันล้านบาท ลดลง 15 % จากปีก่อนที่มี 1.7 พันล้านบาท แต่ปี 63 คาดจะมีกำไรปกติ 1.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29%
ด้านนายสมบัติ เอกวรรณพัฒนา ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยหลักทรัพย์ บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) กล่าวว่า CK ได้รับประโยชน์ จากโครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน ที่จะลงนามสัญญาร่วมกับภาครัฐในวันนี้ โดยประเมินว่า CK และ ITD ที่ถือหุ้นเท่ากันในโครงการดังกล่าวจะได้รับงานก่อสร้างรายละประมาณ 5 หมื่นล้านบาท ช่วยเพิ่ม Bqacklog แตะ 1 แสนล้านบาท จาก Backlog ที่มีอยู่น้อย จึงแนะนำ"ซื้อ" ที่ราคา 28 บาท
นอกจากนี้ ในปีนหน้า CK มีโอกาสสูงได้งานใหม่เข้ามา แม้ว่าพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2563 จะออกมาล่าช้าบ้าง แต่เชื่อว่าภาครัฐจะผลักดันโครงการออกมาประมูลต่อเนื่อง ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม ,โครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ ช่วงเตาปูน-ราษฎร์บูรณะ มูลค่า 1 แสนล้านบาท ซึ่งโครงการนี้น่าจะมีโอกาสมากกว่า เพราะ BEM ซึ่งเป็นบริษัทลูกมีโครงข่ายเดินรถเชื่อมที่สถานีเตาปูน
ทั้งนี้ คาดกำไรปกติในปี 62 ของ CK จะอยู่ที่ 1.02 พันล้านบาท ลดลง 34% จากปีก่อนที่มีกำไร 1.54 พันล้านบาท แต่ปี 63 คาดกำไรสุทธิเพิ่มเป็น 2.23 พันล้านบาท เพราะปีนี้รายได้จากงานก่อสร้างลดลงจากปริมาณงานใหม่เข้ามาน้อย ส่วนปีหน้า จะได้รับรู้กำไรมากจาก CKP เต็มปี หลังเริ่ม COD โรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีใน ต.ค.62