บมจ.ปูนซิเมนต์ไทย (SCC) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทมีมติอนุมัติแผนการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) ของ บมจ. เอสซีจี แพคเกจจิ้ง (SCGP) และอนุมัติการนำหุ้นสามัญของ SCGP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย โดยกำหนดสัดส่วนจำนวนหุ้นที่จะเสนอขาย IPO จำนวนไม่เกิน 30% ของทุนชำระแล้วของ SCGP ภายหลังการเพิ่มทุน
ทั้งนี้ SCGP จะนำเงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้น IPO เพื่อใช้ลงทุนในการขยายธุรกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศ และใช้ในการปรับโครงสร้างทางการเงิน รวมถึงใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนของ SCGP
ขณะที่ SCC จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่และผู้มีอำนาจควบคุมของ SCGP และ SCGP จะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เช่นเดิม โดยบริษัทฯ จะยังคงสัดส่วนการถือหุ้นใน SCGP ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่า 70% ของทุนชำระแล้วของ SCGP ภายหลังการเพิ่มทุน
ณ วันที่ 28 ต.ค.62 SCGP มีทุนจดทะเบียน 1,563,000,000 บาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญจำนวน 156,300,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท โดยสัดส่วนการถือหุ้นของ SCC ใน SCGP คิดเป็น 99.04%
ผลประกอบการของ SCGP ในช่วงปี 59-61 มีรายได้ 74,542 ล้านบาท 81,455 ล้านบาท และ 87,255 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิ 3,851 ล้านบาท 5,374 ล้านบาท และ 6,826 ล้านบาท ตามลำดับ
ขณะที่งวด 6 เดือนแรกของปี 62 มีรายได้ 41,529 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้ 43,773 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 2,884 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3,362 ล้านบาท
นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ SCC เปิดผยว่า SCC เล็งเห็นว่าธุรกิจแพคเกจจิ้งมีศักยภาพที่โดดเด่น และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อไปได้อีกในอนาคต โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนซึ่งมีอัตรากรบริคและกำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นอย่งต่อเนื่องมากกว่าภูมิภาคอื่น ๆ โดยเฉพาะบรรจุกัณฑ์สำหรับสินค้าอุปโภคบริโภค ผลิคภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่ม และสินค้าที่ซื้อขายผ่านช่องทาง E-commerce โดยเฉพาะในประเทศไทย อินโดนีเชีย ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม ซึ่งเป็นตลาดที่มีอัตราการเดิบโตที่สูงและมีศักยภาพที่จะเติบโตได้อย่างมากและต่อเนื่องในอนาคต โดยในปี 61 ตลาดแพคเกจจิ้งในอาเซียนมีมูลค่าประมาณ 50,000 ล้านดอลลาร์
ดังนั้น เพื่อให้สามารถร่งสร้างโอกาสและเพิ่มศักยภาพการเติบโตของธุรกิจแพคเกจจิ้งในภูมิภาค ทั้งในด้านฐานการผลิตและการตลาดให้ตอบสนองกับความต้องการในตลาดได้ดีมากยิ่งขึ้น SCC จึงได้อนุมัติแผนการเสนอขายหุ้น IPO ของ SCGP ไม่เกิน 30% ของทุนชำระแล้วของ SCGP ภายหลังการเพิ่มทุนและนำ SCGP เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ
ทั้งนี้ ธุรกิจแพคเกจจิ้งของ SCC จะยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาจุดแข็งและสร้างโอกาส ทั้งในด้านนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่มีวัสดุหลากหลายประภพ (Muแ-aerl) ทั้งกระดาษและพอลิเมอร์ พร้อมการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องกับบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร (Integraled packaging solutions provide) การนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินธุรกิจ ผ่านการเดินหน้าสร้างความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ชั้นนำระดับโลก และการควบรวมหรือการซื้อกิจการ (Merger & Acquistion; M8A) ในภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพการเติบโต โดยในปี 62 ได้มีการเข้าซื้อ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. ในอินโดนีเซียและบริษัท วีซี่ แพ็คเกจิ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ในไทย
ตลอดจนการมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่และความเชี่ยวชาญในตำนต่างๆ ทั้งในไทย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย และอินโดนีเชีย รวมทั้งประเทศอื่น ๆ ทั้งในและนอกภูมิภาคอาเซียนในอนาคด ให้สามารถช่วยเสริมประสิทธิภาพการผลิตที่ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีอยู่ ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างยั่งยืนด้วยแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน เพื่อรักษาความเป็นผู้นำตำนบรรจุภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าชั้นนำระดับสากลได้อย่างครอบคลุมและครบวงจรตั้งแต่ตันน้ำจนถึงปลายน้ำต่อไป