นายสมประสงค์ ปัญจะลักษณ์ ประธานกรรมการ บมจ.ไพร์ม โรด เพาเวอร์ (PRIME) กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งเป้ามีกำลังการผลิตติดตั้งไฟฟ้าพลังงานทดแทนเพิ่มเป็น 500 เมกะวัตต์ (MW) ในปี 65 โดยจะมาจากการลงทุนทั้งในรูปแบบ greenfield ในต่างประเทศ, การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา (โซลาร์ รูฟท็อป) ในประเทศและต่างประเทศ และโรงไฟฟ้าชุมชน เช่น ไบโอแก๊ส, ไบโอแมส รวมถึงโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศไทย จากปัจจุบันที่มีโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 287 เมกะวัตต์ โดยมีการจ่ายไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 179 เมกะวัตต์
พร้อมทั้งอยู่ระหว่างการพัฒนาก่อสร้าง จำนวน 108 เมกะวัตต์ แบ่งเป็น ในประเทศไทย จำนวน 132.3 เมกะวัตต์, ประเทศญี่ปุ่น จำนวน 68.2 เมกะวัตต์, ประเทศไต้หวัน จำนวน 8.5 เมกะวัตต์ และล่าสุดที่ประเทศกัมพูชาจำนวน 78 เมกะวัตต์ ซึ่งคาดว่าในจำนวนนี้จะสามารถ COD ได้ครบทั้งหมดในช่วงปลายปี 64
ทั้งนี้ บริษัทฯ มองยังมีโอกาสเติบโตอีกมากสำหรับงานในประเทศ โดยเฉพาะโครงการโซลาร์ชุมชน กำลังการผลิต 2,000 เมกะวัตต์ ที่คาดจะเปิดประมูลได้ในปีหน้า ซึ่งบริษัทฯ ก็คาดหวังจะได้รับประมาณ 5% ของโควตาทั้งหมด และโซลาร์ รูฟท็อป หากมีการเปิดประมูลบริษัทฯ ก็จะเข้าไปประมูลเช่นกัน โดยที่ผ่านมาก็ได้มีการร่วมลงทุน (JV) กับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ หรือชำนาญในด้านรูฟท็อปไปแล้ว
นอกจากนี้งานในต่างประเทศ ก็เชื่อว่ากระแสเรื่องของพลังงานทดแทนเริ่มมีมากขึ้น ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ได้เข้าไปประมูลโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในประเทศกัมพูชา กำลังการผลิต 78 เมกะวัตต์ และไต้หวัน ก็มองว่าประเทศดังกล่าวยังมีโอกาสเติบโตอีกมาก รวมถึงยังศึกษาความเป็นไปได้ของการเข้าไปลงทุนในประเทศอื่น ๆ เพิ่มเติม เช่น เวียดนาม, มาเลเซีย, ลาว, ฟิลิปปินส์ เป็นต้น โดยมีนโยบายผลตอบแทนจากการลงทุนที่ไม่ต่ำกว่า 10%
สำหรับผลประกอบการในปีนี้บริษัทฯ ก็คาดว่าจะเติบโตมากกว่าปีก่อน และประเมินผลประกอบการในปี 63 เบื้องต้นว่าน่าจะเติบโตไปตามการ COD ที่เข้ามาเพิ่มขึ้น แต่ในรายละเอียดยังไม่สามารถบอกได้ในขณะนี้ ซึ่งบริษัทฯ จะเสนอแผนการดำเนินงานของบริษัทฯในปีหน้า ต่อคณะกรรมการบริษัท (บอร์ด) ในเดือนธ.ค.นี้
"บริษัทฯ กำหนดกลยุทธ์การขยายธุรกิจด้วยการขยายการลงทุนโครงการพลังงานทดแทนทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยอาศัยจุดแข็ง คือ ความเชี่ยวชาญ ในการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าอย่างมีประสิทธิภาพด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง ความได้เปรียบด้านต้นทุน มีพันธมิตรธุรกิจระดับโลก และการได้รับการยอมรับในระดับสากล รวมถึงจากสถาบันการเงินระดับนานาชาติ อีกทั้งผู้บริหารของบริษัทฯ มีประสบการณ์ในการพัฒนาโครงการพลังงานทดแทนในไทยกว่า 10 ปี โดยการลงทุนต่างประเทศ บริษัทฯ จะมุ่งเน้นประเทศที่มีศักยภาพการเติบโตสูงและความต้องการพลังงานไฟฟ้าจำนวนมาก อย่างไต้หวัน เวียดนาม ลาว และกัมพูชา ซึ่งถือเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่กำลังขยายตัวทางเศรษฐกิจ และภาคอุตสาหกรรม มีความต้องการพลังงานไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในปริมาณมาก ซึ่งบริษัทฯคาดว่าจะมีโอกาสที่จะขยายการลงทุนเพิ่มเติมไปในประเทศดังกล่าว"
นายสมประสงค์ กล่าวว่า ส่วนการย้ายหลักทรัพย์เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) วันนี้เป็นวันแรก ก็มีความยินดีอย่างมาก ซึ่งความน่าสนใจของหุ้น PRIME อยู่ที่การมีรายได้ที่สม่ำเสมอ และมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง จากโครงการใหม่ๆ ที่เข้ามา