นายวิน อุดมรัชตวนิชย์ ประธานกรรมการบริหาร บล.เคทีบี (ประเทศไทย) หรือ KTBST เปิดเผยว่า สัปดาห์นี้ (4-8 พ.ย.62) ทิศทางตลาดยังเคลื่อนไหวในเชิงขาลง โดยดัชนีมีโอกาสหลุดระดับ 1,580 จุด และมองแนวรับถัดไป ที่ 1,570 จุด จากปัจจัยลบจากการชะลอตัวทางเศรษฐกิจ ซึ่งเห็นได้จากโรงงานอุตสาหกรรมทยอยปิดตัวลง และกำไรของตลาดไตรมาส 3/62 ที่ชะลอลงตามภาวะเศรษฐกิจและสงครามการค้า ซึ่งมาตรการแจกเงินของรัฐบาลอย่างเดียวไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แรงพอ
ส่วนประเด็นเรื่องการลงนามข้อตกลงทางการค้าของจีนกับสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเกิดขึ้นก่อนกำหนดจะเป็นปัจจัยหลักที่นักลงทุนจับตามอง ซึ่งตลาดหุ้นทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้นเกิดใหม่ ปรับตัวขึ้น 1.3% สะท้อนว่านักลงทุนให้น้ำหนักในทางบวก แม้จะมีข่าวที่อาจจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจว่าสองฝ่ายจบจบการค้ากันได้เข้ามาเป็นระยะๆ ก็ตาม
ทั้งนี้ การปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ล่าสุดทำให้ดอลลาร์อ่อนค่า (dollar index 97.1) ถือเป็นผลบวกต่อกลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ คือ น้ำมัน และทองคำ รวมถึงผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ของสหรัฐฯ อ่อนตัวลง แต่ตรงข้ามกับของไทย คือ Bond yield ดีดตัวขึ้นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาทำให้เงินบาทแข็งค่า และนักลงทุนต่างประเทศได้ขายหุ้น (foreign net sell) จำนวนประมาณ 6,500 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขายต่อเนื่องกันเป็นเดือนที่ 3 คิดเป็นมูลค่ารวมประมาณ 74,000 ล้านบาท ทำให้ประเมินว่าเงินทุนเริ่มไหลออกจากตลาดหุ้นไทยเนื่องจากการขายทำกำไรเพื่อปรับพอร์ตในหุ้นที่ราคาขึ้นมามากและคาดว่าจะแรงขายยังดำเนินต่อไปในสัปดาห์นี้
สำหรับการลงทุนในสัปดาห์นี้ ยังมองว่าตลาดยังขาดแรงซื้อเนื่องจากความไม่แน่นอนของหลายตัวแปร ส่งผลให้ทิศทางราคาหุ้นยังมีความผันผวนต่อโดยเฉพาะหุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า ซึ่งแนะนำให้ชะลอการเข้าซื้อจนกว่าราคาจะเริ่มนิ่ง ดังนั้น แนะนำให้ชะลอการลงทุนปรับเพิ่มเงินสดจาก 20% เป็น 30% เพื่อรอให้ตลาดมีทิศทางที่ชัดเจน ส่วนการเข้าเก็งกำไรช่วงสั้น ควรเน้นหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว และหุ้นที่ราคาลงมามากรวมถึงหุ้นที่ถูกคาดว่างบการเงินไตรมาส 3 จะออกมาดี หุ้นที่แนะนำได้แก่ KTC, IRPC, LH, BH, GFPT, TOA มองกรอบดัชนีฯสัปดาห์นี้ที่ 1,570-1,612 จุด