บมจ.เดอะแพรคทิเคิลโซลูชั่น (TPS) ประกาศราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) ที่หุ้นละ 2.50 บาท เปิดให้จองซื้อวันที่ 5-7 พ.ย.และคาดว่าจะสามารถเข้าทำการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 15 พ.ย.นี้ ในกลุ่มเทคโนโลยี
ทั้งนี้ TPS จะเสนอขายหุ้น IPO จำนวน 80 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) 0.50 บาทต่อหุ้น คิดเป็นสัดส่วน 28.57% ของจำนวนหุ้นสามัญที่จดทะเบียนแล้วทั้งหมด วัตถุประสงค์เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้คืนหนี้เงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จากการลงทุนก่อสร้างอาคารสำนักงานแห่งใหม่ ประมาณ 20-30 ล้านบาท, การจัดตั้ง Network Operation Center: NOC, การจัดตั้ง DEMO Data Center, Security and Collaboration และที่เหลือจะใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
บริษัทได้แต่งตั้ง บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจัดจำหน่าย โดยมีผู้ร่วมผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย 5 แห่ง ประกอบด้วย บล.เคทีบี (ประเทศไทย), บล.ทรีนิตี้, บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) , บล.ฟินันเซีย ไซรัส และ บล.เอเซีย พลัส
นางสาวพัชพร สรรคบุรานุรักษ์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายวาณิชธนกิจ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้รับประกันการจัดจำหน่ายหุ้น IPO ของ TPS กล่าวว่า การกำหนดราคา IPO ที่หุ้นละ 2.50 บาท คิดเป็นค่า P/E 11.57 เท่า โดยเปรียบเทียบกับค่า P/E เฉลี่ยของบริษัทที่จดทะเบียนอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ ที่มีลักษณะการประกอบธุรกิจคล้ายคลึงกัน ซื้อขายที่ระดับ P/E 15.6 เท่า และเปรียบเทียบกับ P/E ของกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศเทรดอยู่ที่ P/E 20.68 เท่า โดย P/E
การคำนวณมาจากผลประกอบการในอดีต 4 ไตรมาสย้อนหลัง โดยที่ยังไม่ได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานในอนาคตจาก 1. โอกาสในการเข้าประมูลงานเพิ่มขึ้น ตามการเติบโตของตลาดเทคโนโลยีสารสนเทศ และการลงทุนของภาครัฐเพื่อขับเคลื่อนประเทศตามนโยบายประเทศไทย 4.0 2. การเพิ่มขึ้นของรายได้จากการให้บริการดูแลและบำรุงรักษาระบบ จากการต่อสัญญาของลูกค้าเดิม และสัญญาจากลูกค้าใหม่ตามการขยายฐานลูกค้าโครงการเพิ่มขึ้น และ 3. อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายที่คาดว่าจะดีขึ้น จากความประหยัดต่อขนาดรายได้ตามการเพิ่มขึ้นของฐานรายได้จากงานโครงการ ซึ่งคาดว่า P/E จะลดลงได้อีกมาก ซึ่งราคาดังกล่าวถือว่าเป็นระดับราคาที่มีส่วนลดให้กับนักลงทุนในระดับที่น่าพอใจ
การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ในครั้งนี้ จะทำให้บริษัทเข้าถึงแหล่งเงินทุน โดยเม็ดเงินส่วนใหญ่จะนำมาใช้ในการเข้าไปทำโครงการได้ขนาดใหญ่ขึ้นและต่อยอดธุรกิจได้มากขึ้น ในขณะที่บริษัทฯมีความพร้อมทั้งด้านบุคลากรผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์ที่จะสามารถสร้างธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ตามการเติบโตของอุตสาหกรรม IT ด้วยปัจจัยที่สนับสนุนสำคัญคือการลงทุนของหน่วยงานภาครัฐ โดยมีงบประมาณรายจ่ายมากถึง 3 ล้านล้านบาท สำหรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ เพื่อส่งเสริมสังคมดิจิทัลและสร้างการเข้าถึงการใช้บริการสื่อสารอย่างเท่าเทียม ตามแผนการปฏิรูปโครงสร้างทางเศรษฐกิจโดยการใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี (ประเทศไทย 4.0) และแผนพัฒนาดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (Digital Economy) มุ่งเน้นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล
ส่วนการลงทุนด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของภาคเอกชนก็มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องเช่นกัน จากการเปลี่ยนแปลงจากระบบ 4G ไปสู่ 5G ซึ่งจะทำให้มีการลงทุนในด้านนี้มากขึ้น ซึ่ง TPS มีแผนขยายไปรับงานในส่วนของภาครัฐมากขึ้นจากนโยบายประเทศไทย 4.0 และการเปลี่ยนแปลงผ่านเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งคาดว่าบริษัทฯจะมีส่วนร่วมในการเข้าประมูลงานใหม่ จากจำนวนงานที่เพิ่มขึ้นตามภาวะอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศที่มีแนวโน้มขยายตัวได้ในระยะยาว
ขณะที่สัดส่วนการเสนอขายหุ้น IPO แบ่งเป็นการเสนอขายให้แก่ กรรมการและผู้บริหารและผู้มีอุปการะคุณของบริษัทฯประมาณ 25% ที่ราคา IPO ส่วนที่เหลือจัดสรรให้กับผู้มีอุปการะคุณของผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ โดยผู้ถือเดิมนำหุ้นส่วนที่เหลือจากที่ติด Silent มาติด Lock Up ทั้งหมด
"มั่นใจว่าการเสนอขายหุ้น IPO ในครั้งนี้จะได้รับความสนใจจากนักลงทุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นหุ้นที่อยู่ในอุตสาหกรรมพื้นฐานด้านเครือข่ายเทคโนโลยีสารสนเทศที่ครบวงจร ซึ่งอุตสาหกรรมนี้ มีเม็ดเงินลงทุนมากกว่า 5 แสนล้านบาท จากการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี และนโยบายประเทศไทย 4.0 ทำให้ทุกภาคส่วนต้องมีการลงทุนด้านเทคโนโลยี เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคสู่สังคมดิจิทัล และนวัตกรรมเทคโนโลยี IT ใหม่ๆ ทั้ง Blockchain, Big Data, AI, Cloud ในขณะเดียวกัน TPS ยังมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ภายหลังการระดมทุนในครั้งนี้จะทำให้ D/E จะลดลงต่ำกว่า 1 เท่า และสามารถที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นได้อีกมาก จากการรับงานโครงการใหญ่ขึ้นต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าจะเป็นหุ้นที่มีอนาคตดี และคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน" นางสาวพัชพร กล่าว
ด้านนายบุญสม กิจเกษตรสถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TPS กล่าวว่า บริษัทจะนำเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ ไปใช้ในการขยายธุรกิจ ประกอบด้วย นำไปใช้ในการจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการเครือข่าย (Network Operation Center: NOC) การจัดตั้งศูนย์แสดงข้อมูลระบบรักษาความปลอดภัยและระบบการติดต่อสื่อสาร (DEMO Data Center, Security & Collaboration) ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงินจากการลงทุนซื้อที่ดินและก่อสร้างอาคารสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ
การระดมทุนครั้งนี้จะช่วยรองรับโครงการลงทุนต่างๆ ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมถึงจะช่วยเพิ่มฐานทุนให้บริษัทมีศักยภาพในการเข้าประมูลงานในโครงการขนาดใหญ่ที่มีมูลค่าสูงขึ้น ที่สำคัญปัจจุบัน TPS มีโครงการในมือ (Backlog) รอรับรู้รายได้ประมาณ 378.42 ล้านบาท และยังไม่นับรวมโครงการที่อยู่ระหว่างการเจรจากับภาครัฐและเอกชนที่คาดว่าจะมีเพิ่มขึ้นอีกด้วย โดยตั้งเป้าหมายที่จะมีอัตราการเติบโตของรายได้อย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องในอนาคต
อนึ่ง TPS มีรายได้จากการให้บริการในปี 59-61 เท่ากับ 595.97 ล้านบาท 847.54 ล้านบาท และ 536.58 ล้านบาท ส่วนงวด 6 เดือนแรกปี 62 บริษัทมีรายได้จากการให้บริการ 321.31 ล้านบาท เมื่อเทียบกับปี 61 เติบโตกว่า 55% ในขณะที่กำไรสุทธิเติบโตกว่า 503% โดยมีอัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นประมาณ 34%