นายกิติชาญ ศิริสุขอาชา ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์รายย่อย บล.ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยเช้านี้คาดว่าจะแกว่งแคบ โดยอาจเผชิญแรงขายทำกำไรของหุ้นในกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี หลังจากที่สถาบันปิโตรเลียมอเมริกา (API) ได้เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐเพิ่มขึ้น 4.26 ล้านบาร์เรล สูงกว่าตลาดคาดไว้ที่ 2.7 ล้านบาร์เรล ทำให้ไปกดดดันราคาน้ำมันในตลาดฟิวเจอร์ส
ทั้งนี้ ช่วงนี้ตลาดฯได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุนในประเทศ ซึ่งได้ซื้อหุ้นที่มีการเติบโตในประเทศ อย่างไรก็ดีวันนี้ให้ติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ซึ่งคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยมากกว่า เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร (Bond yield) อายุ 10 ปี ของไทย ได้ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อวานนี้ หากคงอัตราดอกเบี้ยจริง หุ้นในกลุ่มแบงก์ใหญ่ก็จะกลับมา
ด้านตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียเช้านี้เคลื่อนไหวทั้งในแดนบวก-ลบ โดยต่างรอดูว่าเมื่อไหร่สหรัฐฯ และจีน ถึงจะลงนามข้อตกลงเจรจาการค้าได้ อย่างไรก็ดีหุ้นได้รับผลสะท้อนปัจจัยนี้ไปแล้ว ทำให้ช่วงสั้นอาจมีแรง Take profit ได้ และน่าจะเข้ามาเล่นหุ้นกลุ่ม Domestic plays ที่ยัง Laggard อยู่
นอกจากนี้ ให้ติดตามการทยอยประกาศผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนต่อไป และติดตามการปรับน้ำหนักลงทุนของ MSCI ด้วย พร้อมให้กรอบการแกว่งไว้ที่ 1,620-1,635 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (5 พ.ย.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 27,492.63 จุด เพิ่มขึ้น 30.53 จุด (+0.11%), ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,434.68 จุด เพิ่มขึ้น 1.48 จุด (+0.02%), ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,074.62 จุด ลดลง 3.65 จุด (-0.12%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 91.52 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 0.48 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 47.07 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 1.05 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 0.05 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 3.98 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย เพิ่มขึ้น 2.69 จุด, ดัชนี PSE Composite ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ เพิ่มขึ้น 0.24 จุด
- ตลาดหุ้นไทยปิดล่าสุด (5 พ.ย.62) 1,626.87 จุด เพิ่มขึ้น 4.62 จุด (+0.28%)
- นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,642.43 ล้านบาท เมื่อวันที่ 5 พ.ย.62
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ธ.ค.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (5 พ.ย.62) ปิดที่ 57.23 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือ 1.2%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (5 พ.ย.) อยู่ที่ 3.31 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.25/26 อ่อนค่าจากวานนี้ หลังดอลล์แข็งค่าขานรับตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ-รอลุ้นมติกนง.บ่ายนี้
- "มหาดไทย"เตรียมเสนอ ครม.พิจารณาต่อสัมปทานบีทีเอส 30 ปี แลกรับภาระหนี้ กทม.กว่า 6.4 หมื่นล้านบาท ค่าโดยสารไม่เกิน 65 บาท ปรับราคาทุก 2 ปี "ฉัตรชัย" ยืนยันเจรจาเอกชนโปร่งใส "สุรพงษ์" ชี้เป็นข้อเสนอดีต่อทุกฝ่าย พร้อมพัฒนาระบบรับบริการในอนาคต การต่ออายุสัมปทานโครงการรถไฟฟ้า
- นายกฯ หารือจีน เสนอซื้อสินค้าเกษตรไทยเพิ่ม เร่งโครงการรถไฟความเร็วสูง นายกฯ จีนลั่นยกแพลตฟอร์มอีอีซีเชื่อมการลงทุนไทย ชี้เจรจาอาร์เซ็ปสำเร็จจ่อประกาศปีหน้า "ศักดิ์สยาม" เตรียมหารือเคลียร์ปมสกุลเงินสัญญางานระบบราง
- "ไอเอ็มเอฟ" ชมเสถียรภาพเศรษฐกิจไทยแกร่ง มีกันชนรองรับความผันผวนได้ดี แนะไทยยังมีพื้นที่นโยบายเหลือพอดูแลเศรษฐกิจได้เพิ่ม พร้อมประเมินดอกเบี้ยนโยบายยังลดได้อีก แต่ขึ้นกับความเห็นของ กนง. ชมปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เล็งนำไปเผยแพร่ให้ทั่วโลกรับทราบ
- สรท.ชี้เดือน ก.ย.ส่งออกไทยยังติดลบ 1.4% หลังถูกปัจจัยรุมเร้ารอบด้าน ทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอ-บาทแข็งค่า-มะกันตัดจีเอสพี-สงครามการค้า ลุ้นปี 63 โตแค่ 0-1% ด้านกรมธุรกิจพลังงานเผยยอดใช้น้ำมันเชื้อเพลิง 9 เดือนแรกปีนี้ขยับเพิ่มแค่ 1%
*หุ้นเด่นวันนี้
- EPG (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 10 บาท กำไรสุทธิ Q2 ปี 62/63 (ก.ค.-ก.ย.62) คาดที่ระดับ 270 ล้านบาท +25% Q-Q, +3% Y-Y แต่มีโอกาสดีกว่าคาด เห็นได้จากผลประกอบการของ PDG ที่แม้รายได้ 9M62 +5% Y-Y แต่กำไร +36% Y-Y เพราะต้นทุนเม็ดพลาสติกลดลงตั้งแต่ต้นปี ด้านธุรกิจ EPP (บรรจุภัณฑ์พลาสติก) ซึ่งมีรายได้ 1 ใน 4 ของกลุ่ม มีอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้นชัดเจนใน 2 ไตรมาสที่ผ่านมาโดยรายได้ยังไม่ขยับ ถ้าการบริโภคในประเทศฟื้น EPP ยิ่งได้ประโยชน์จาก economy of scale ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบยังอยู่ในทิศทางขาลงต่อเนื่องถึงปีหน้า ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อธุรกิจฉนวนและชิ้นส่วนยานยนต์ด้วย
- MTC (ฟินันเซีย ไซรัส) "ซื้อ"เป้า 68 บาท กำไร Q3/62 ใกล้เคียงกับที่คาด อยู่ที่ 1,080 ล้านบาท +6% Q-Q, +12%Y-Y ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมถึงต้นทุนทางการเงินเริ่มปรับขึ้น แต่รายได้ดอกเบี้ยและการเติบโตของสินเชื่อที่ทำได้ดีกว่าคาด หักล้างต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้ การมุ่งมั่นในการจัดการกับ NPL ที่เพิ่มขึ้นใน 2Q62 เห็นผล โดย NPL ใน 3Q62 ลดลงต่ำที่สุดในรอบ 12 ไตรมาสมาอยู่ที่ 0.98% ขณะที่ coverage ratio แข็งแกร่งที่ 296% ยังคงประมาณการปีนี้และปีหน้าที่คาด +13% Y-Y และ 26% Y-Y ตามลำดับ
- CPF (กรุงศรี) "ซื้อ"เป้า 33.5 บาท ทยอยสะสม มองราคาหุ้นลดลงสะท้อนข่าวแพร่ระบาดของโรคอหิวาต์หมูแอฟริกาไปแล้ว ขณะที่ปัจจุบันราคาหมูในประเทศเริ่มฟื้นตัวจากระดับ 55 บาทต่อกิโลกรัม เป็น 60 บาทต่อกิโลกรัม เช่นเดียวกับราคาหมูเวียดนามที่ฟื้นตัวขึ้นกว่าเท่าตัวจากระดับ 33,000 ดองต่อกิโลกรัม ขึ้นเป็น 60,000 ดองต่อกิโลกรัม ในปัจจุบันคาดว่าจะช่วยหนุนผลประกอบการ Q3/62 และ Q4/62 ฟื้นตัว และล่าสุดจีนให้ใบอนุญาตส่งออกไก่ให้กับ CPF เป็น Phase ที่ 2