นายนพดล ปิ่นสุภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ไออาร์พีซี (IRPC) คาดว่าผลการดำเนินงานของบริษัทได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปีนี้ที่งวดในไตรมาส 3/62 มีผลขาดทุนสุทธิ 1.32 พันล้านบาท หลังจากขณะนี้เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้นทั้งในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี, ธุรกิจปิโตรเลียม และธุรกิจสาธารณูปโภค โดยในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี ในช่วงที่ผ่านมาได้รับผลกระทบจากสงครามการค้า และค่าเงินบาทที่แข็งค่า ปัจจุบันก็มีสัญญาณบวกจากการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐและจีน ที่ใกล้บรรลุข้อตกลงทางการค้า ซึ่งต้องจับตาดูว่าตลาดจะตอบสนองต่อท่าทีที่ดีขึ้นมากน้อยอย่างไร ซึ่งหากยุติได้ในเร็ววันนี้ก็เชื่อว่าธุรกิจปิโตรเคมีน่าจะฟื้นตัวขึ้นได้ในช่วงก่อนสิ้นปีนี้
"มีสัญญาณบวกที่ดีขึ้นจากการพูดคุยของจีนและสหรัฐ หลังจากนี้ต้องจับตาตลาดว่าจะตอบสนองต่อท่าทีที่ดีขึ้นมากน้อยแค่ไหนอย่างไร ต้องรอดติตามดูอีก 2 เดือน ส่วนในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ปัจจัยภายนอกยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สัญญาณบวกเพิ่งเกิดขึ้น ตลาดเหมือนกับจะอั้นกันมานาน ทุกคนชะลอตัวหมด จากสงครามการค้าที่เกิดขึ้น ผู้เล่นในตลาดชะลอการซื้อสินค้า ถ้าทุกอย่างมีความชัดเจน ธุรกิจก็ยังต้องเดินหน้าต่อไป การเติบโต การใช้ และเป็นช่วงเข้าสู่ช่วงเทศกาลก็น่าจะมีผลเห็นได้ก่อนสิ้นปี เดือนธันวาคมก็น่าจะเริมเห็นสัญญาณที่ดีขึ้นได้"นายนพดล กล่าวผ่านรายการทางโซเชียลมีเดียเช้านี้
นายนพดล กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน พอร์ตธุรกิจปิโตรเคมี มีสัดส่วนกำไรราว 60%, ธุรกิจปิโตรเลียมกว่า 30% ส่วนที่เหลือมาจากธุรกิจสาธารณูปโภค โดยในส่วนของธุรกิจปิโตรเคมี บริษัทยังจะเร่งพัฒนาผลิตภัณฑ์ชนิดพิเศษ (speciality product) มากขึ้น ซึ่งจะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้มากกว่าสินค้าปกติ (Commodity) พร้อมกับพัฒนาพลาสติกอีคอมเมิร์ซแพลตฟอร์ม (Plastic E-Commerce platform) ที่นำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยในการพัฒนารูปแบบการซื้อขายเม็ดพลาสติกให้ง่ายขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้ขายนำเม็ดพลาสติกจากหลากหลายแบรนด์มาจัดจำหน่าย เพื่อสร้างตัวเลือกที่หลากหลายทั้งด้านคุณภาพและราคาให้กับผู้ซื้อ
ด้านธุรกิจปิโตรเลียม คาดว่าจะได้รับประโยชน์จากเกณฑ์ใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) กำหนดให้เรือเดินสมุทรใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำ 0.5% จากเดิม 3.5% เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 ส่งผลทำให้ความต้องการน้ำมันเตากำมะถันต่ำเพิ่มสูงขึ้นมาก และบริษัทเป็นโรงกลั่นเดียวในประเทศที่มีหน่วยกำจัดกำมะถันในน้ำมันเตา ซึ่งปัจจุบันก็มีการจำหน่ายน้ำมันเตากำมะถันต่ำได้เพิ่มขึ้นเป็นระดับกว่า 5 หมื่นตัน/เดือน และยังสามารถขยายขีดความสามารถการผลิตได้อีก
ขณะที่ตลาดเอเชียและตะวันออกกลาง มีความต้องการใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำ 9 ล้านตัน/เดือน แต่ซัพพลายในตลาดมีอยู่ราว 4 ล้านตัน/เดือนเท่านั้น ยังขาดอีก 3 ล้านตัน โดยปัจจุบันเป็นช่วงที่ตลาดเรือเริ่มมีความต้องการใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำเข้ามาแล้ว ในสิงคโปร์ก็เริ่มนำน้ำมันเตากำมะถันสูงออกจากถังเก็บและเริ่มทยอยเก็บน้ำมันเตากำมะถันต่ำเข้ามาแทนที่ ซึ่งภาพในเดือน ธ.ค.น่าจะมีความชัดเจนมากขึ้น
นอกจากนี้ ในด้านราคาน้ำมันก็น่าจะปรับตัวดีขึ้น จากสถานการณ์การค้าในตลาดโลกที่เริ่มคลี่คลาย ซึ่งจะส่งผลให้สต็อกน้ำมันมีแนวโน้มดีขึ้นจากที่ขาดทุนสต็อกน้ำมันในไตรมาส 3/62
ส่วนธุรกิจสาธารณูปโภคที่ปัจจุบันมีทั้งในส่วนของโรงไฟฟ้า ท่าเรือ และล่าสุดได้ขยายไปสู่ตลาดนิคมอุตสาหกรรม โดยการร่วมลงทุนกับ บมจ.ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น (WHA) ขณะนี้มีความคืบหน้าไปค่อนข้างมาก โดยในปีหน้าจะเน้นเรื่องการจัดทำรายงานการวิเคราะห์ผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) และคาดว่าจะสามารถเริ่มขายพื้นที่ได้ในต้นปี 64 ซึ่งจะทำให้พอร์ตธุรกิจในระยะ 1 ปีข้างหน้าน่าจะมีความน่าสนใจมากขึ้นจากในช่วงระยะสั้นที่พอร์ตธุรกิจจะค่อนข้างนิ่งเป็นส่วนใหญ่
"สำหรับเรา เราเชื่อว่าผ่านจุดต่ำสุดแล้ว เพราะปัจจัยต่าง ๆ ที่เห็นเราได้ผ่านในช่วงที่กดดันทุกเรื่อง ทั้งราคาปิโตรเลียม ปิโตรเคมี สถานการณ์ค่อย ๆ คลี่คลายในแต่ละเรื่อง สิ่งที่เราเตรียมตัวในหลาย ๆ เรื่องจะทำให้เรามีความแข็งแรงมากขึ้น"นายนพดล กล่าว