นายชวลิต ทิพพาวนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ (GPSC) เปิดเผยว่า ผลประกอบการไตรมาส 3/62 บริษัทมีรายได้รวมทั้งสิ้น 19,226 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12,565 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 189% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีผลจากการเข้าซื้อกิจการของบมจ.โกลว์ พลังงาน (GLOW) นับว่ามีส่วนสำคัญต่อการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้นของ GPSC เต็มไตรมาสอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของกำไรสุทธิในไตรมาส 3/62 อยู่ที่ 893 ล้านบาท ลดลง 6 ล้านบาท คิดเป็น 1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีปัจจัยหลักทั้งจากราคาขายไฟฟ้าที่ลดลงของโรงไฟฟ้าเอ็กโค่-วัน ซึ่งเป็นไปตามฤดูกาลโดยในช่วงฤดูฝนการใช้พลังงานมีสัดส่วนที่ลดลง และมีปัจจัยจากปริมาณการขายไฟฟ้าที่ลดลงของโรงไฟฟ้าห้วยเหาะที่ สปป.ลาว
นอกจากนี้ ยังมีภาระค่าใช้จ่ายของดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจากการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์จากผู้ถือหุ้นรายย่อย (Tender Offer) ของ GLOW เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ทำให้ GPSC สามารถเข้าถือหุ้นเพิ่มขึ้นเป็น 95.25% และยังมีค่าตัดจำหน่ายค่าธรรมเนียมในการจัดหาเงินกู้ที่เพิ่มขึ้นตามการปรับปรุงแผนการชำระคืนเงินกู้ระยะสั้นซึ่งได้จากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนที่ผ่านมา ทั้งนี้ เพื่อเพิ่มศักยภาพทางการเงินของบริษัทให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น และพร้อมที่จะขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยมั่นใจว่าตลาดอุตสาหกรรมไฟฟ้าจะมีทิศทางที่เปลี่ยนแปลง จากการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมมาสู่การพัฒนาการผลิตในทุกภาคส่วนมากยิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม หากพิจารณากำไรที่ไม่รวมค่าตัดจำหน่ายจากการประเมินมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์สุทธิจำนวน 372 ล้านบาท และผลกระทบตามมาตรฐานบัญชี จำนวน 277 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนผลกำไรจากการดำเนินงานอย่างแท้จริง จะมีกำไรสุทธิของบริษัท ที่ไม่รวมค่าตัดจำหน่ายและผลรวมจากมาตรฐานบัญชี (Adjusted Net Income) จำนวน 1,542 ล้านบาท
สำหรับภาพรวมการดำเนินงานไตรมาส 3/62 บริษัทมีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) เท่ากับ 5,057 ล้านบาท ปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนให้เห็นว่ากระแสเงินสดของบริษัท ยังมีความเข้มแข็งและการเติบโตอย่างต่อเนื่องภายหลังการเข้าควบรวมกิจการ GLOW สำเร็จแล้ว
"ปัจจัยภาพรวมของการดำเนินงานไตรมาส 3 นี้ ถือเป็นช่วงที่บริษัท ต้องเดินหน้าตามแผนงานทั้งในด้านการลงทุน เพื่อเข้าซื้อหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อยของ GLOW และยังมีแผนการปรับโครงสร้างทางการเงิน โดยได้ดำเนินการเพิ่มทุนจำนวน 74,000 ล้านบาทแล้วเสร็จในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา และนำเงินที่ได้ไปคืนเงินกู้ยืมระยะสั้นเรียบร้อยแล้ว ทำให้หลังจากนี้ บริษัทจะมีโครงสร้างทางการเงินที่เหมาะสมและมีภาระค่าดอกเบี้ยจ่ายลดลงตั้งแต่ไตรมาสที่ 4 เป็นต้นไป" นายชวลิต กล่าว
อย่างไรก็ตาม แผนการผลิตไฟฟ้าและไอน้ำที่เตรียมเข้าสู่ระบบการผลิตเชิงพาณิชย์ (COD) ในปี 2563 ได้แก่ โครงการโรงไฟฟ้าของบริษัท ผลิตไฟฟ้า นวนคร จำกัด (NNEG) ส่วนขยาย กำลังการผลิตส่วนเพิ่ม 60 เมกะวัตต์ (MW) ไอน้ำ 10 ตันต่อชั่วโมง ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 30%
ทั้งนี้ ในช่วงเดือนกรกฏาคม-ตุลาคมที่ผ่านมา ได้เริ่มเดินเครื่องเชิงพาณิชย์ 3 โครงการเป็นที่เรียบร้อยแล้ว คือ โรงไฟฟ้าพลังน้ำ น้ำลิก 1 (NL1PC) ประเทศ สปป.ลาว กำลังการผลิต 65 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 40%, ศูนย์ผลิตสาธารณูปการแห่งที่ 4 (CUP 4) จังหวัดระยอง กำลังการผลิต 45 เมกะวัตต์ ไอน้ำ 70 ตันต่อชั่วโมง ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 100% และโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี (XPCL) ประเทศ สปป.ลาว กำลังการผลิต 1,285 เมกะวัตต์ ซึ่ง GPSC ถือหุ้น 25%