บมจ.แอ๊บโซลูท คลีน เอ็นเนอร์จี้ (ACE) เปิดเผยว่า ตามที่บริษัทได้รับอนุญาตให้เสนอขายหุ้นที่ออกใหม่จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ เมื่อวันที่ 16 พ.ค.62 และแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวนของบริษัทฯ มีผลใช้บังคับในวันที่ 28 ต.ค.62 โดยมีช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้นที่ระหว่าง 4.00-4.40 บาทต่อหุ้นนั้น บริษัทขอแจ้งราคาเสนอขายสุดท้ายในการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัทต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรกในครั้งนี้เป็นจำนวน 1,018,000,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ที่ราคาหุ้นละ 4.40 บาท
ACE กำหนดระยะเวลาจองซื้อสำหรับบุคคลทั่วไปวันที่ 1, 4-5 พ.ย.62 จำนวน 407,200,000 หุ้น คิดเป็น 40% ส่วนผู้ลงทุนสถาบันจะเสนอขายในวันที่ 6-7 พ.ย.62 จำนวน 610,800,000 หุ้น คิดเป็น 60% รวมมูลค่าการเสนอขาย 4,072,000,000-4,479,200,000 บาท
ทั้งนี้ บริษัทคาดว่าจะนำหุ้นสามัญเพิ่มทุนเข้าจดทะเบียนและซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในวันที่ 13 พ.ย.นี้ โดยมี บล.ทรีนีตี้ เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และแต่งตั้ง บล.ทรีนีตี้ และ บล.ไทยพาณิชย์ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม และแต่งตั้ง บล.เคจีไอ (ประเทศไทย), บล. ฟินันเซีย ไซรัส และ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) เป็นผู้จัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย
นางสาววีณา เลิศนิมิตร กรรมการ บล.ไทยพาณิชย์ ในฐานะ Sole Bookrunner และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า การจัดสรรหุ้น IPO แบ่งเป็น จัดสรรให้นักลงทุนสถาบันประมาณ 60% และจัดสรรให้นักลงทุนรายย่อยประมาณ 40% โดยนักลงทุนรายย่อยให้การตอบรับจองซื้อหุ้น IPO ในช่วงที่ผ่านมาอย่างคับคั่ง ขณะที่นักลงทุนสถาบันก็แสดงความสนใจเป็นจำนวนมาก โดยแสดงความต้องการจองซื้อที่ราคาสูงสุดหุ้นละ 4.40 บาท มากกว่าจำนวนหุ้นที่จัดสรรแก่นักลงทุนสถาบันกว่า 10 เท่า จึงกำหนดราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้น IPO ของ ACE ที่ราคา 4.40 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นราคาสูงสุดของช่วงราคาเสนอขายเบื้องต้น
พร้อมดำเนินการเสนอขายหุ้น IPO แก่นักลงทุนสถาบันในวันที่ 6-7 พ.ย.62 และคาดว่าจะนำหุ้น ACE เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) ในหมวดทรัพยากร/พลังงานและสาธารณูปโภค ในวันที่ 13 พ.ย.นี้
ทั้งนี้ นักลงทุนรายย่อยและนักลงทุนสถาบันได้ให้ความสนใจ ACE อย่างล้นหลาม เนื่องจาก ACE มีรายได้ที่แน่นอนจากสัญญาขายไฟฟ้าในระยะยาวให้การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ตลอดจนมีอัตราการเติบโตของรายได้และผลกำไรที่โดดเด่น โดยมีโอกาสการเติบโตจากโครงการที่อยู่ใน pipeline ของบริษัท เพิ่มอีกกว่า 200 เมกะวัตต์ภายในปี 65
ACE มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์ บุคลากร เงินทุน และผลประกอบการ ที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา อีกทั้งยังมีการวิจัยและพัฒนา เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพ ในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การประกอบธุรกิจของ ACE สอดคล้องกับ World Mega Trend ที่มุ่งเน้นพลังงานสะอาด รวมทั้งแนวทางโครงการโรงไฟฟ้าชุมชนของภาครัฐ
นายวิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม กล่าวว่า นักลงทุนรายย่อยให้ความสนใจหุ้น ACE เนื่องจาก ACE มีรายได้ที่แน่นอน และมั่นคงจากสัญญาขายไฟฟ้าในระยะยาวให้ กฟภ. และ กฟผ. ในราคาที่แน่นอนและมีกำไรดี จึงไม่มีปัจจัยเสี่ยงเรื่องการตลาดและการเรียกเก็บหนี้ , มี High Growth และ Low Risk โดยมีปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง มีรายได้ กำไรสุทธิ ผลตอบแทนในสินทรัพย์ และผลตอบแทนในการลงทุนที่มีอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง อันต่อเนื่องจากที่มีสัญญาขายไฟฟ้าอยู่ในมือ โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนาและอยู่ระหว่างรอการพัฒนา รวมอีกกว่า 200 เมกะวัตต์
นอกจากนี้ ACE มีพื้นฐานทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ทั้งทางด้านเทคโนโลยี ประสบการณ์ บุคลากร เงินทุน และผลประกอบการที่โดดเด่นในช่วงที่ผ่านมา (Past Record) อีกทั้งยังมีการวิจัยและพัฒนา เพื่อลดต้นทุน และเพิ่มศักยภาพในการทำกำไรอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการทำธุรกิจที่สอดคล้องกับ World Mega Trend เป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูงมาก และเป็นธุรกิจที่มีแนวโน้มกำลังจะไป ทดแทนธุรกิจพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ในอนาคตอันใกล้
ตลอดจน ACE ยังได้รับผลบวกจากอัตราดอกเบี้ยขาลง ทำให้มีโอกาสที่ต้นทุนทางการเงินของ ACE ลดลง อีกทั้งจากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยเงินฝากที่ลดลง ACE จึงเป็นแหล่งลงทุนที่มีความมั่นคง มีความเสี่ยงน้อย และมีศักยภาพในการเติบโต ซึ่ง ACE มีความโดดเด่น เป็นพิเศษ ในคุณลักษณะ ที่นักลงทุนค้นหา รวมถึงยังมีศักยภาพในการแข่งขันที่จะได้สัญญาขายไฟฟ้าเพิ่มขึ้น จากการที่หน่วยงานภาครัฐ มีแผนเปิดให้เอกชนยื่นประมูลในโครงการโรงไฟฟ้าชีวมวลเสนอขายไฟฟ้าชุมชนจำนวน 4,100 เมกะวัตต์ เนื่องจาก ACE มีรากฐานที่มั่นคงและมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน
ทั้งนี้ คาดว่านักลงทุนจะให้ความสนใจในหุ้นของ ACE ต่อเนื่องไปจนถึงภายหลังจากการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ และในกรณีบริษัทเติบโตขึ้นในอนาคตตามแผนที่วางไว้ ก็จะทำให้ ACE มีโอกาสที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นจนติดอันดับ SET50 ในอนาคต ทำให้ ACE น่าจะต้องจับตามองจากนี้เป็นต้นไป
ขณะที่นางสาวจิรฐา ทรงเมตตา ประธานกรรมการบริหาร ของ ACE กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทมีรายได้จากโรงไฟฟ้าที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) แล้ว 13 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 211.18 เมกะวัตต์ มีปริมาณไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับกฟภ. และกฟผ. รวม 166.5 เมกะวัตต์ และมีโครงการโรงไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการพัฒนา อยู่ระหว่างขอคืนสัญญาขายไฟฟ้า และอยู่ระหว่างพิจารณาความเหมาะสมการเข้าซื้อหุ้น รวมทั้งสิ้น 20 โครงการ กำลังการผลิตติดตั้งรวม 210.19 เมกะวัตต์ และมีปริมาณไฟฟ้าเสนอขายตามสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) กับ กฟผ. และ กฟภ. รวม 168.71 เมกะวัตต์ โดยมีเป้าหมายขยายการลงทุนโรงไฟฟ้าในไทยและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตติดตั้งรวมเป็นกว่า 1,000 เมกะวัตต์ ภายในปี 67
นายธนะชัย บัณฑิตวรภูมิ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ ACE กล่าวว่า ส่วนผลการดำเนินงานในปี 59-61 บริษัทมีรายได้รวม 2,161 ล้านบาท 4,346 ล้านบาท และ 4,849 ล้านบาทตามลำดับ ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ประมาณ 50% และมีกำไรสุทธิ 134 ล้านบาท 334 ล้านบาท และ 547 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็น CAGR ประมาณ 102%
ส่วนผลการดำเนินงาน 6 เดือนแรกของปี 62 มีรายได้รวม 2,555 ล้านบาท และกำไรสุทธิ 342 ล้านบาท นอกจากนี้ยังมีอัตราเติบโตของผลตอบแทนบน Fixed Asset (Return on Fixed Asset) โดยในปี 59-61 มีอัตราผลตอบแทนอยู่ที่ 4.1% 8.1% และ 12.4% ตามลำดับ และในช่วงไตรมาส 2/62 เพิ่มขึ้นเป็น 16%