นายปิยะ เตชากูล กรรมการผู้จัดการ บมจ.เอทีพี 30 (ATP30) เปิดเผยว่า แนวโน้มธุรกิจของบริษัทในช่วงไตรมาส 4/62 คาดว่าจะยังคงรักษาอัตราการเจริญเติบโตและความสามารถในการทำกำไรได้ในทิศทางเดียวกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการพิจารณาเซ็นสัญญากับลูกค้าใหม่เพิ่มขึ้น คาดว่าจะเริ่มให้บริการและรับรู้รายได้ช่วงต้นปี 63 ขณะที่โรงงานบางแห่งลดกำลังการผลิตหรือปิดกิจการไม่ได้ส่งผลกระทบมากนักเนื่องจากบริษัทขยายบริการไปยังกลุ่มลูกค้าอื่น ๆ เพิ่มเติม
"ท่ามกลางการชะลอตัวของเศรษฐกิจ ส่งผลให้โรงงานบางแห่งลดกำลังการผลิต หรือบางโรงงานปิดกิจการ แต่เนื่องจากบริษัทมีลูกค้ากระจายในหลากหลายอุตสาหกรรม และทุกรายมีสัญญาระยะยาว บริษัทจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก และยังคงสามารถรักษาอัตราการเติบโตให้อยู่ในเกณฑ์ดีได้ อีกทั้งบริษัทมีการบริหารจัดการต้นทุนให้เหมาะสมอยู่เสมอ รวมถึงขยายบริการไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมท่องเที่ยว และการให้บริการรถ shuttle bus รับส่งมวลชน ซึ่งเป็นการกระจายความเสี่ยงที่มาของรายได้ และเป็นโอกาสในการขยายฐานรายได้ของบริษัทให้เติบโตขึ้น อีกทั้งยังได้รับอานิสงส์จากราคาน้ำมันที่อยู่ในช่วงขาลงด้วย"นายปิยะ กล่าว
นายปิยะ กล่าวว่า บริษัทยังคงมุ่งเน้นการพัฒนาบุคลากร การพัฒนาระบบบริหารจัดการการเดินรถให้มีประสิทธิภาพ เพื่อรักษาคุณภาพในการให้บริการและรองรับการขยายตัวในเขตภาคตะวันออก มั่นใจว่ารายได้ปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายไม่ต่ำกว่า 10 % หรือ 465 ล้านบาท
สำหรับผลประกอบการงวด 9 เดือนปี 62 บริษัทมีรายได้รวม 345.18 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 313.26 ล้านบาท จำนวน 31.92 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 10.19% และมีกำไรสุทธิ 36.08 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 30.50 ล้านบาท จำนวน 5.58 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.30%
ส่วนผลประกอบการไตรมาส 3/62 มีรายได้รวม 117.33 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 110.21 ล้านบาท จำนวน 7.12 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 6.46% และมีกำไรสุทธิ 12.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 10.70 ล้านบาท จำนวน 1.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 18.41%
นายปิยะ กล่าวว่า ผลประกอบการของบริษัทเติบโตเพิ่มขึ้นจากการให้บริการรถรับส่งพนักงานเป็นหลัก อีกทั้งบริษัทมีการเพิ่มจำนวนรถให้กับกลุ่มลูกค้าเดิม นอกจากนี้ยังสามารถบริหารจัดการต้นทุนน้ำมันและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้บริษัทมีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นงวด 9 เดือนแรกปีนี้ดีขึ้นอยู่ที่ 26.21% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 25.95%