(เพิ่มเติม) PTTGC คาดปี 63 กำไรดีขึ้นจากหดตัวปีนี้ตามมาร์จิ้นฟื้น,สรุปลงทุนปิโตรฯคอมเพล็กซ์สร้างบ้านแห่ง 2 ในสหรัฐ H1/63

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday November 8, 2019 18:17 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

นายคงกระพัน อินทรแจ้ง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) เปิดเผยว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานในปี 63 จะมีกำไรเพิ่มขึ้น จากปีนี้ที่คาดว่าจะหดตัวหลังช่วง 9 เดือนแรกปีนี้กำไรลดลง 69% เนื่องจากในปีหน้าตั้งเป้าหมายจะมีรายได้เติบโต 15% จากปีนี้ตามกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้นราว 11% จาก 3 โครงการปิโตรเคมีใหม่ที่จะแล้วเสร็จพร้อมเดินเครื่องในปีหน้า และราคาสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะมีส่วนผลักดันให้มาร์จิ้นเพิ่มขึ้นราว 4% จากปีนี้ ขณะที่สงครามการค้ามีแนวโน้มที่ดีขึ้น

ทั้งนี้ ประเมินการดำเนินงานธุรกิจโรงกลั่นในปีหน้าจะมีค่าการกลั่น (GRM) เพิ่มขึ้นเป็นราว 7 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล จากราว 4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรลในปีนี้ หลังได้ปัจจัยหนุนจากเกณฑ์ใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่กำหนดให้เรือเดินสมุทรต้องใช้น้ำมันเตาที่มีค่ากำมะถันต่ำไม่เกินกว่า 0.5% จาก 3.5% ในปัจจุบัน ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 ขณะที่โรงกลั่นก็จะเดินเครื่องเต็มที่ 100% หลังจากได้หยุดซ่อมบำรุงในไตรมาส 4/62 ราว 50 วัน

ส่วนธุรกิจอะโรเมติกส์ คาดว่าจะมีส่วนต่าง (สเปรด) ผลิตภัณฑ์เพิ่มขึ้นมาที่ 180 เหรียญสหรัฐ/ตัน จาก 140 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ ตามความต้องการใช้ที่เพิ่มขึ้น และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตของโรงงานทำให้ได้อัตราผลตอบแทนที่ดีขึ้น ด้านธุรกิจโอเลฟินส์ คาดว่าราคาผลิตภัณฑ์ HDPE จะเพิ่มขึ้นมาที่ 1,030 เหรียญสหรัฐ/ตัน จากราว 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตันในปีนี้ แม้ว่าจะมีกำลังการผลิตใหม่ของตลาดโลกเพิ่มเข้ามาราว 6 ล้านตัน/ปีในปีหน้า แต่ก็เชื่อว่าจะมีกำลังการผลิตบางส่วนที่ลดลงเพราะว่ามีต้นทุนที่สูงกว่าสเปรดผลิตภัณฑ์ที่ยังอยู่ในระดับต่ำ

นายคงกระพัน ซึ่งเข้ามารับตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหารเมื่อเดือน ต.ค.62 ได้ประกาศวิสัยทัศน์ของ PTTGC ในระยะต่อไป โดยวางเป้าหมายที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจเคมีภัณฑ์ระดับสากล เพื่อสร้างสรรค์คุณภาพชีวิต ภายใต้กลยุทธ์ 3 Steps

Step Change ซึ่งเป็นการสร้างบ้านให้แข็งแรง โดยเฉพาะฐานปัจจุบันที่อยู่ในมาบตาพุด จ.ระยอง โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับธุรกิจด้วยการขยายเข้าสู่ผลิตภัณฑ์ปลายน้ำและ High Value Business โดยวางเป้าหมายจะใช้เงินลงทุนราว 4-5 หมื่นล้านบาทในพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ในช่วง 3 ปีข้างหน้า รวมถึงจะขยายตลาดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ด้วย

Step Out เป็นการหาฐานธุรกิจแห่งที่ 2 (Second Home Base) โดยมองเป้าหมายที่สหรัฐฯ ซึ่งมีศักยภาพการแข่งขันในด้านวัตถุดิบและมีตลาดเติบโต ขณะที่ความเสี่ยงของการลงทุนทั้งด้านสิ่งแวดล้อมและอื่น ๆ เริ่มจำกัดลง แต่การตัดสินใจที่จะลงทุนอย่างใดอย่างหนึ่งก็จะเป็นไปด้วยความระมัดระวัง โดยเฉพาะโครงการปิโตรเคมีคอมเพล็กซ์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ ร เช่น สัญญาการก่อสร้างโครงการ และการจัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ คาดว่าในช่วงครึ่งปี 63 หรือไตรมาส 2/63 จะได้ผลสรุปเพื่อตัดสินใจในการดำเนินโครงการดังกล่าว

ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวเป็นการลงทุนร่วมกับ Daelim Industrial Co.,Ltd. (DAELIM) จากเกาหลีใต้ ฝ่ายละ 50% เพื่อผลิตเอทิลีน 1.5 ล้านตัน/ปี และ HDPE 1.5 ล้านตัน/ปี ซึ่งหากตัดสินใจลงทุนในปี 63 ก็คาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ออกมาได้ในครึ่งหลังของปี 68 นอกจากนี้ยังมองโอกาสต่อยอดด้วยการเข้าสู่ธุรกิจใหม่ ๆ ด้วยการซื้อกิจการและร่วมลงทุน (M&A) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างก้าวกระโดด

ขณะที่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้ลงทุนในสหรัฐในโครงการต่าง ๆ แล้วคิดเป็นมูลค่าราว 500-600 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งรวมถึงการลงทุนใน 50% ใน NatureWorks ผู้ผลิตพลาสติกชีวภาพชนิด Polylactic Acid (PLA) ในสหรัฐ ขนาด 1.5 แสนตัน/ปี ปัจจุบันเดินเครื่องเต็มกำลังการผลิตแล้ว และอยู่ระหว่างตัดสินใจที่จะตั้งโรงงานแห่งที่ 2 ซึ่งบริษัทได้ชักชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยในโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ ระยะที่ 2 เพื่อผลิต PLA ราว 7.5 หมื่นตัน/ปี คาดว่าทาง NatureWorks จะสรุปได้ในต้นปี 63

"ที่สหรัฐ กลุ่ม ปตท.ให้ PTTGC เป็นคนเดินหน้าไปก่อน ถ้ามีโอกาสไปก็จะดึงกลุ่มไปลงด้วย ธุรกิจในกลุ่มปตท.มีอีกเยอะ เราไปลงปิโตรเคมี ปตท.สนใจก๊าซฯไหม GPSC สนใจ Utility ไหมก็ไปดูด้วยกัน การสร้างบ้านแห่งที่ 2 เป็นกลยุทธ์สำคัญ สร้างโอกาสให้เราไม่ใช่เฉพาะสิ่งที่เรามองเห็นอยู่แล้ว ถ้าเราทำสำเร็จจะทำให้การลงทุนต่างประเทศที่ทุกวันนี้เรามีไม่ถึง 10% ในปี 2030 เราก็จะมีพอร์ตในการลงทุนต่างประเทศ 30% เมืองไทย 70% อันนี้เป็นเป้าที่สำคัญชัดเจน"นายคงกระพัน กล่าว

นายคงกระพัน กล่าวอีกว่า การขยายพอร์ตลงทุนต่างประเทศดังกล่าว จะช่วยสร้างกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อมและค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) จากต่างประเทศเพิ่มเป็น 30% ในปี 73 จากระดับ 7% ในปีนี้ ขณะที่ EBITDA จากในประเทศจะลดลงเหลือ 70% ในปี 73 จาก 7% ในปีนี้

ส่วนกลยุทธ์สุดท้าย คือ Step Up เป็นการสานต่อแนวคิดการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยวางเป้าหมายที่จะมีผลิตภัณฑ์เคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษ (Performance Materials and Chemicals) และผลิตภัณฑ์เคมีเพื่อสิ่งแวดล้อม (Green Chemicals) ในพอร์ตของบริษัทเพิ่มเป็น 30% ภายในปี 73 จากปัจจุบันที่มีอยู่ไม่ถึง 10%

"ปี 2030 ในพอร์ตของเราจะมีธุรกิจ Performance กับ Green รวมกัน 30% และมี EBITDA 30% จากการลงทุนต่างประเทศ ซึ่งเราหวังว่า earning จะไม่หวือหวา กระจายความเสี่ยงมากขึ้น เพราะเรามีทั้งในและต่างประเทศ ต่างประเทศมีมากขึ้น และพวก Performance Product หรือ Green ก็จะมีกำไรด้วย ซึ่ง Quality Earning ก็จะดีขึ้น "นายคงกระพัน กล่าว

นายคงกระพัน กล่าวว่า บริษัทเตรียมเงินลงทุนในช่วง 5 ปี (ปี 63-67) ราว 1.5-2.0 แสนล้านบาท เพื่อรองรับการลงทุนใหม่และการทำ M&A ที่มองโอกาสการลงทุนในหลายพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในต่างประเทศ โดยในส่วนนี้จะมาจากกระแสเงินสดที่เข้ามาราว 3 หมื่นล้านบาท/ปี ขณะที่ยังมีศักยภาพก่อหนี้ได้อีกราว 2 แสนล้านบาท จากสัดส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ราว 0.3 เท่า โดยในปี 63 ตั้งงบลงทุนที่ได้รับการอนุมัติเพื่อลงทุนตามปกติในวงเงิน 3 หมื่นล้านบาท


เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ