นางยูกิโกะ โรเบิร์ตส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอสบีไอ ไทย ออนไลน์ (SBITO) เปิดเผยว่า บริษัทมีแนวทางพัฒนาการให้บริการแพลตฟอร์มออนไลน์การลงทุนตอบโจทย์นักลงทุนในยุคดิจิทัล โดยในปี 63 มีแผนขยายฐานลูกค้าใหม่เพิ่มอีก 10,000 บัญชี จากปัจจุบันอยู่ที่ 26,000 บัญชี มุ่งเน้นกลยุทธ์การแข่งขันค่าคอมมิชชันที่ถูกกว่าผู้บริการรายอื่น โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 0.075% ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรมธุรกิจนายหน้าค้าหลักทรัพย์ในไทย เพราะบริษัทมีต้นทุนการดำเนินกิจการต่ำกว่าคู่แข่ง
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนานวัตกรรมใหม่ๆ โดยเฉพาะการนำระบบ AI มาใช้เพื่อให้นักลงทุนได้ซื้อขายได้ง่ายขึ้น โดย ล่าสุด บริษัทได้เปิดให้บริการเครื่องมือช่วยการลงทุนภายใต้ชื่อ SBITO AI ที่จะช่วยวิเคราะห์หุ้นอย่างละเอียดทั้งพื้นฐานและเทคนิค โดยจากการทดสอบข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี โปรแกรมดังกล่าวสามารถสร้างผลตอบแทนระดับ 33% ต่อปี
ขณะเดียวกัน บริษัทเตรียมเปิดตัวให้บริการใหม่ เพื่อให้นักลงทุนสามารถซื้อขายหุ้นได้เองโดยตรงในตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา คาดว่าจะเปิดตัวเป็นทางการวันที่ 27 พ.ย.นี้ ช่วยเปิดโอกาสกระจายความเสี่ยงให้กับนักลงทุน และยังเพิ่มบริการที่หลากหลายยิ่งขึ้น ขณะเดียวกันเป็นการสอดรับกับนโยบายธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปรับเกณฑ์เอื้อเงินทุนไหลออกลดแรงกดดันเงินบาทแข็งค่า
นอกจากนี้ บริษัทยังมีอีกหนึ่งบริการ คือการจับมือพันธมิตรผู้พัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ เพื่อให้บริการซื้อขายยางพาราล่วงหน้าได้โดยตรงในตลาด TOCOM ของญี่ปุ่น และตลาดซื้อขายล่วงหน้าในประเทศจีน เพราะมองว่ายางเป็นพืชเศรษฐกิจสำคัญของไทย แต่การซื้อขายล่วงหน้ากลับอยู่ในต่างประเทศ ซึ่งบริการดังกล่าวช่วยเพิ่มความสะดวกและเป็นการกระตุ้นตลาดซื้อขายล่วงหน้าสินค้าโภคภัณฑ์ต่อนักลงทุนไทย ทั้งนี้ สำหรับ 2 ระบบการให้บริการดังกล่าว บริษัทจะให้คำแนะนำและทดลองซื้อขายให้กับนักลงทุนที่สนใจภายในงาน SET in the City 2019 ระหว่างวันที่ 14-17 พ.ย.นี้
นางยูกิโกะ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน SBITO ยังไม่มีแผนนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของไทย เนื่องจากอยู่ในช่วงของการขยายกิจการและเพิ่มบริการในด้านต่างๆ และผลประกอบการยังขาดทุน อย่างไรก็ตาม จากแผนเปิดให้บริการด้านต่างๆ ช่วยผลักดันฐานนักลงทุนที่เพิ่มขึ้น และคาดว่าผลประกอบการของบริษัทมีโอกาสพลิกเป็นกำไรได้ในช่วง 1-2 ปีข้างหน้า
"ในประเทศไทยมีจำนวนคนชั้นกลางจำนวนมากและเข้าถึงออนไลน์ ทำให้เชื่อว่าในอนาคตฐานลูกค้าที่เป็นนักลงทุนเทรดออนไลน์มีจำนวนมากขึ้น เพราะปัจจุบันสัดส่วนนักเทรดดิ้งในไทยมีแค่ 3% เท่านั้น แตกต่างกับในสหรัฐฯมีสัดส่วนกว่า 25% หรือแม้แต่ในญี่ปุ่นที่มีมากกว่า 10% ดังนั้นเราจึงมองเห็นโอกาสเติบโตได้อีกมากในไทย"นางยูกิโกะ กล่าว