นายแพทย์สุวิน ไกรภูเบศ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. บิวตี้ คอมมูนิตี้ (BEAUTY) เปิดเผยว่าผลประกอบการไตรมาส 3/62 มีรายได้รวม 456.98 ล้านบาท ลดลง 14.04% และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 50.85 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.73% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/62 และเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน รายได้ลดลง 57.75% และกำไรสุทธิ ลดลง 84.54%
ขณะที่ งวด 9 เดือน ปี 2562 มีรายได้รวม 1,537.32 ล้านบาท ลดลง 45.95% และมีกำไรสุทธิ 167.17 ล้านบาท ลดลง 80.74% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ผลประกอบการไตรมาส 3 ในส่วนของกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากการปรับกลยุทธ์และแผนการดำเนินงาน มุ่งเน้นบริหารจัดการต้นทุนการบริหาร ควบคุมค่าใช้จ่ายแปรผันและต้นทุนคงที่ต่าง ๆ การย้ายสาขาและปิดสาขาที่ไม่มีศักยภาพในการเติบโต ขณะที่รายได้รวมปรับตัวลดลงเนื่องจากเป็นช่วงโลว์ซีซัน (Low Season) ของธุรกิจเครื่องสำอาง กำลังซื้อผู้บริโภคในประเทศหดตัว นักท่องเที่ยวจีนลดลง ด้านตลาดต่างประเทศยังคงได้รับผลกระทบจากกฎหมายควบคุมการนำเข้าสินค้าจีนในรูปแบบการหิ้วสินค้า แต่บริษัทสามารถทำตลาดในประเทศจีนโดยตรงได้ดีขึ้นโดยแต่งตั้งตัวแทนจำหน่ายอย่างเป็นทางการหลายราย
สำหรับแนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาส 4 ปีนี้ คาดว่าจะสามารถสร้างการเติบโตต่อเนื่อง จากการเข้าสู่ช่วงไฮซีซันของธุรกิจ จำนวนนักท่องเที่ยวจีนเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐกระตุ้นกำลังซื้อผู้บริโภคให้กลับมาคึกคักในช่วงปลายปี 62 ซึ่งบริษัทจะเดินหน้าทำการตลาดอย่างเต็มรูปแบบในทุกช่องทางการจัดจำหน่าย ออกโปรโมชั่นต่างๆจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายกับลูกค้าสมาชิก อาทิ กิจกรรมครบรอบ 12 ปี BEAUTY BUFFET โปรโมชั่น 11.11 เพื่อกระตุ้นยอดขาย
นอกจากนี้บริษัทยังมุ่งเน้นการเพิ่มยอดขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพเข้าถึงกลุ่มลูกค้า ตลาดในประเทศจะมีการปรับคอนเซ็ปต์และรูปแบบของช่องทางจำหน่ายหลัก รวมทั้งพัฒนาโมเดลใหม่ ๆ ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้มากขึ้น ส่วนช่องทางการจัดจำหน่าย Commerce Business เช่น E-Commerce, ช่องทางสินค้าอุปโภคบริโภค (Consumer Product) จะช่วยผลักดันรายได้ให้เติบโตและรักษาอัตรากำไรสุทธิอยู่ในระดับที่ดี เนื่องจากช่องทางดังกล่าวมีต้นทุนดำเนินการต่ำ และเป็นการบริหารจัดการความเสี่ยงลดการพึ่งพิงตลาดใดตลาดหนึ่งมากเกินไป
สำหรับตลาดต่างประเทศ ขยายไปในตลาดที่หลากหลายมากกว่า 10 ประเทศ อาทิ มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย เมียนมาร์ เวียดนาม ลาว ไต้หวัน ฮ่องกง บรูไน ญี่ปุ่น อินเดีย เป็นต้น โดยจะมุ่งเน้นขยายตลาดที่มีศักยภาพในการเติบโต อาทิ จีน เมียนมา อินโดนีเซีย เวียดนาม
นายแพทย์สุวิน กล่าวต่อไปว่า ในส่วนของตลาดจีนซึ่งถือเป็นตลาดสำคัญ เริ่มมีสัญญาณที่ดีจากการเพิ่มช่องทางจำหน่ายอย่างเป็นทางการทั้งในกลุ่มออนไลน์และออฟไลน์ ที่สามารถเข้าถึงลูกค้าชาวจีนได้โดยตรง ประกอบด้วย แพลตฟอร์มออนไลน์ต่างๆ ของจีน (CBEC : Cross Border E-Commerce) และ ตลาดร้านค้าทั่วไป (General Trade) ตั้งเป้ามีจุดจำหน่ายสินค้าภายในสิ้นปีมากกว่า 33,000 จุดจำหน่าย จากปัจจุบันที่มีจุดจำหน่าย 28,000 แห่ง และมีกระแสตอบรับที่ดีจากช่องทาง E-Commerce ในประเทศจีน รวมถึงมีการทำการตลาดร่วมกับตัวแทนจำหน่าย เพื่อสร้างการยอมรับในสินค้าและแบรนด์ BEAUTY อาทิ เทศกาล วันคนโสด 11.11 หรือ Single Day ของอาลีบาบาในประเทศจีน สินค้าของบริษัทจำหน่ายผ่านช่องทาง TMALL เติบโตถึง 48 % เมื่อเทียบปีที่แล้ว
อย่างไรก็ตาม การขยายธุรกิจหลายช่องทางทำให้ BEAUTY มีศักยภาพเติบโต การปรับกลยุทธ์โครงสร้างการจัดจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้ได้รับคำสั่งซื้อสินค้าจากตัวแทนจำหน่ายประเทศจีนและประเทศอื่นๆ ซึ่งสินค้า BEAUTY ได้รับความนิยมในกลุ่มผู้บริโภคจีนและประเทศเขตเอเซีย มีแนวโน้มการเติบโตเห็นได้ชัดเจน เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในระดับประเทศอย่างต่อเนื่อง