นายปรับชะรันซิงห์ ทักราล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บูทิค คอร์ปอเรชั่น (BC) มั่นใจว่าหุ้น BC ที่จะเข้าซื้อขายบนกระดานของตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันแรก 14 พ.ย.62 จะได้รับกระแสการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน เนื่องจากบริษัทเป็นผู้นำธุรกิจพัฒนาโครงการรูปแบบ BOS รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย หลังจากเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 167,000,000 หุ้น ที่ราคาเสนอขายหุ้นละ 2.86 บาท
"เราเป็นธุรกิจที่มีความโดดเด่นในการทำกำไร เมื่อเทียบกับการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์รูปแบบอื่น โดยจะเห็นได้ชัดเจนเมื่อบริษัทฯ มีการขายโครงการที่บริษัทพัฒนาให้กับกลุ่มทุนที่มีศักยภาพในการซื้อสามารถให้ราคาแบบ win-win ทั้งสองฝ่าย ขณะเดียวกันเรายังมีรายได้สม่ำเสมอจากการบริหารโครงการนั้นๆต่อภายหลังการขายโครงการ สะท้อนความสำเร็จได้จากผลงานในช่วงที่ผ่านมามูลค่ากำไรจากการขายโครงการประมาณ 1,626 ล้านบาท"นายปรับซะรันซิงห์ กล่าว
นายปรับชะรันซิงห์ กล่าวว่า การเข้าจดทะเบียนในตลาด mai ครั้งนี้ จะเป็นการปลดล็อคในเรื่องของแหล่งเงินทุน เนื่องจากความต้องการโครงการรูปแบบ BOS ที่ BC เป็นผู้นำในตลาดนี้ มีกำลังซื้อรอยู่จำนวนมาก ขณะที่ ธุรกิจ BOS ไม่ได้รับผลกระทบจากภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอตัว และได้รับผลบวกจากอุตสาหกรรมท่องเที่ยวในประเทศไทยที่คึกคัก เนื่องจากทำเลที่ตั้งของโครงการอยู่ในแหล่งท่องเที่ยวสำคัญ
ประกอบกับ ความหลากหลายของโครงการที่พัฒนา ได้แก่ โรงแรม เซอร์วิสอพาร์ทเมนท์ ศูนย์การค้า และอาคารสำนักงานให้เช่า ทำให้บริษัทฯ สามารถพิจารณาการพัฒนาโครงการที่เหมาะสมได้ จึงมั่นใจ BC ในช่วงต่อจากนี้ มีแผนรองรับการขยายธุรกิจ BOS เพื่อสร้างการเติบโตที่ดี และยิ่งมีงานในมือจากการขยายการลงทุนในโครงการต่างๆ มากเท่าไหร่ เปรียบเสมือนสินค้าในมือที่ BC มีไว้ขายมากเท่านั้น สะท้อนโอกาสการเติบโตที่แข็งแกร่ง
ในปีนี้ BC มีผลงานที่น่าประทับใจ จากการขายโครงการได้ 2 โครงการ ในไตรมาส 2 ที่ผ่านมา เทียบกับปีที่ผ่านๆ มา เฉลี่ยขายโครงการได้ปีละ 1 โครงการ สนับสนุนเป้าหมายผลประกอบการปี 62 จะสามารถเติบโตทำสถิติสูงสุดใหม่นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท และเมื่อเทียบกับปี 61 บริษัทมีรายได้รวมอยู่ที่ 556.2 ล้านบาท อีกทั้ง ตั้งเป้าจะขายโครงการอย่างน้อยปีละ 1 โครงการ เพื่อสร้างผลประกอบการที่มั่นคง ต่อเนื่องในระยะยาว
ทั้งนี้ 6 ปีที่ผ่านมา BC จำหน่ายโครงการออกไปได้แล้ว จำนวน 6 โครงการ รวมมูลค่าโครงการ 3,525 ล้านบาท และ รวมมูลค่ากำไรจากการขายโครงการประมาณ 1,626 ล้านบาท ซึ่งกำไรของ BC จะสูงขึ้นเมื่อมีการขายโครงการออกไป จึงโฟกัสในธุรกิจ BOS มุ่งเน้นการพัฒนาโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่น
ปัจจุบันมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ (Operate) 9 โครงการ ได้แก่ โครงการที่รอขายในอนาคต (BOS) จำนวน 5 โครงการ และโครงการที่บริษัทฯ มีนโยบายเป็นผู้ดำเนินงานและบริหารจัดการเอง (Non-BOS) 4 โครงการ นอกจากนี้ มีโครงการที่อยู่ระหว่างพัฒนา (Build) จำนวน 8 โครงการ คาดจะทยอยแล้วเสร็จไปจนถึงปี 64 เสริมศักยภาพการเติบโตให้ BC เป็นหุ้น Growth Stock ที่มีผลการดำเนินงานโดดเด่น และไม่มีคู่แข่งทางตรงในธุรกิจนี้
สำหรับผลประกอบการของ BC ต้องพิจารณาเป็นภาพรวมธุรกิจทั้งปี หากพิจารณาเป็นรายไตรมาสอาจไม่สะท้อนการเติบโตที่แท้จริง เนื่องจากบริษัทจะเติบโตสูงขึ้นเมื่อปีนั้นมีการขายโครงการออกไป โดยผลประกอบการงวด 9 เดือนแรกของปี 62 รายได้รวมอยู่ที่ 723 ล้านบาท เติบโต 240 ล้านบาท หรือคิดเป็น 49.8% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากการขายโครงการซัมเมอร์ ฮิลล์ และ ซัมเมอร์ ฮับ ออฟฟิศ ในช่วงไตรมาส 2/62 และได้รับการแต่งตั้งให้บริหารสินทรัพย์ต่อ ทำให้ BC ยังได้ค่าบริหารจัดการ ซึ่งอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการซัมเมอร์ ฮิลล์ และ ซัมเมอร์ ฮับ ออฟฟิศ ยังสูงต่อเนื่องที่ระดับกว่า 92%
อีกทั้ง รายได้จากการประกอบกิจการโรงแรมเพิ่มขึ้น โดยได้รับแรงสนับสนุนจากการเปิดตัวโรงแรม โนโวเทล เชียงใหม่ นิมมาน เจอร์นีย์ฮับ จำนวน 202 ห้อง ในเดือนมิถุนายน 2562 ที่ผ่านมา ทำให้อัตราการเข้าพักในกลุ่มธุรกิจโรงแรมที่อยู่ในพื้นที่ต่างจังหวัดโดยรวมเพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่กำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 62 อยู่ที่ 246 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 151 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโต 158.7% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 77.2% อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 26.6%
ด้านนายเล็ก สิขรวิทย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทที่ปรึกษา เอเซีย พลัส จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน คาดว่า BC จะเป็นหุ้น IPO ที่โดดเด่น ด้วยปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่ง เป็นธุรกิจพัฒนาโครงการเพื่อขาย หรือ BOS Model รายแรกที่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ขณะที่ความสามารถในการทำกำไรของ BOS อยู่ในระดับสูง แตกต่างจากบริษัทอสังหาริมทรัพย์ทั่วไปสิ้นเชิง
"จากความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ของผู้บริหารและทีมงาน รวมทั้งความตั้งใจในการสร้างโมเดลธุรกิจที่แตกต่าง ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงินเราเชื่อมั่นว่าจะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุน ประกอบกับการกำหนดราคาไอพีโอของ BC ไว้ที่ 2.86 บาทต่อหุ้น ซึ่งเป็นระดับราคาที่เหมาะสมกับปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของบริษัทฯ คิดเป็น P/BV (Pre-IPO) ที่ 1.66 เท่า และคิดเป็นส่วนลด 40% จาก P/BV เฉลี่ยของบริษัทจดทะเบียนที่ประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ที่ 2.75 เท่า"นายเล็ก กล่าว