บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด คงอันดับเครดิตองค์กรของ บมจ.กรุงไทยคาร์เร้นท์ แอนด์ ลีส (KCAR) ที่ระดับ "A-" พร้อมแนวโน้ม "Stable" หรือ "คงที่"
อันดับเครดิตดังกล่าวสะท้อนสถานะทางธุรกิจของบริษัทในธุรกิจรถเช่าที่อยู่ในระดับปานกลางและคงที่ ตลอดจนภาระหนี้ที่ต่ำ และสภาพคล่องที่เพียงพอ อย่างไรก็ตาม อันดับเครดิตก็มีข้อจำกัดจากการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจรถเช่าซึ่งยังคงสร้างแรงกดดันต่อผลประกอบการของบริษัท
ประเด็นสำคัญที่กำหนดอันดับเครดิต
สถานะทางธุรกิจจะยังคงอยู่ในระดับปานกลาง บริษัทค่อย ๆ ขยายขนาดของสินทรัพย์ให้เช่าอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาแม้ว่าการแข่งขันจะมีความรุนแรง โดยบริษัทมีมูลค่าสินทรัพย์ให้เช่าเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 4.3 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2562 จาก 2.9 พันล้านบาทในปี 2557 เนื่องจากบริษัทประสบความสำเร็จในการหาลูกค้าใหม่ทั้งจากภาครัฐและภาคเอกชน บริษัทจัดว่าเป็นผู้ประกอบการขนาดกลางโดยมีส่วนแบ่งทางการตลาดที่ระดับ 5.0% ในปี 2561 หรือมีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 7 ในอุตสาหกรรมจากฐานข้อมูลของทริสเรทติ้ง โดยส่วนแบ่งทางการตลาดของบริษัทลดลงจาก 5.6% ในปี 2560 เนื่องจากบริษัทมีนโยบายที่จะหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาในการขยายฐานลูกค้าแต่จะสร้างความแตกต่างด้วยการนำเสนอบริการที่มีคุณภาพเหนือกว่าเพื่อที่จะรักษาอัตรากำไรขั้นต้นและฐานลูกค้าแทน ทริสเรทติ้งคาดว่าสถานะทางธุรกิจของบริษัทจะยังคงอยู่ในระดับปานกลางต่อไปจากนโยบายลดการแข่งขันด้านราคาและการมุ่งเน้นให้บริการรถยนต์ให้เช่าเป็นหลัก
ความสามารถในการทำกำไรอยู่ภายใต้แรงกดดัน อัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจรถเช่าของบริษัทได้รับแรงกดดันมาอย่างต่อเนื่องตลอด 2-3 ปีที่ผ่านมาจากการแข่งขันทางด้านราคาที่รุนแรง อีกทั้งแรงกดดันดังกล่าวยังทวีความรุนแรงยิ่งขึ้นจากอายุสัญญาเช่าที่มีระยะเวลาที่ยาวขึ้นจาก 3 ปีเป็น 4-5 ปีอันเป็นผลมาจากการเปลี่ยนแปลงด้านอุปสงค์ของลูกค้าซึ่งส่งผลให้ค่าเช่าที่ได้รับในแต่ละปีปรับตัวลดลง ดังนั้น อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรถเช่าของบริษัทจึงหดตัวลงมาอยู่ที่ระดับ 15.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 จาก 17.0% ในปี 2561 และ 18.1% ในปี 2560
บริษัทยังมีความสามารถในการทำกำไรที่ลดลงในช่วงปีที่ผ่านมาซึ่งเห็นได้จากการที่กำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อรายได้ของบริษัทมีแนวโน้มลดต่ำลง โดยอัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อรายได้ของบริษัทปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ระดับ 13.0% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 จาก 14.2% ในปี 2561 และ 18.9% ในปี 2560 อันเนื่องมาจากอัตรากำไรขั้นต้นในธุรกิจรถเช่าที่หดตัวและปริมาณขายรถหมดสัญญาเช่าในช่วงปีที่ผ่านมาที่น้อยกว่าในปี 2559-2560 อย่างไรก็ตาม บริษัทยังคงสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นจากการขายรถหมดสัญญาเช่าไว้ได้ที่ระดับประมาณ 30% อันเป็นผลมาจากการที่บริษัทขายรถหมดสัญญาเช่ากว่า 90% ผ่านทาง บริษัท กรุงไทย ออโตโมบิล จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทลูกที่ซื้อขายรถยนต์มือสอง ส่งผลให้บริษัทสามารถขายรถหมดสัญญาเช่าได้ในราคาที่สูงและได้กำไรที่ค่อนข้างคงที่เมื่อเทียบกับการขายผ่านช่องทางอื่น เช่น การประมูล เมื่อไม่นานมานี้ บริษัทยังได้ขยายการขายรถหมดสัญญาเช่าไปยังช่องทางออนไลน์เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขวางขึ้นและลดค่าใช้จ่ายทางการตลาดอีกด้วย
ภาระหนี้ในระดับต่ำส่งผลดีต่ออันดับเครดิต แม้ว่าความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจะปรับตัวลดลง แต่ภาระหนี้ที่อยู่ในระดับต่ำของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนอันดับเครดิตของบริษัท โดยบริษัทมีอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ในระดับต่ำที่ 1.7 เท่า ณ เดือนกันยายน 2562 แม้ว่าเงินกู้ยืมจะเพิ่มสูงขึ้นก็ตาม ทั้งนี้ บริษัทมีเงินกู้ยืมทั้งสิ้นจำนวน 3.0 พันล้านบาท ณ เดือนกันยายน 2562 และคณะผู้บริหารของบริษัทก็มีนโยบายที่จะรักษาอัตราส่วนหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นให้อยู่ในระดับ 2.0-2.5 เท่าในระยะยาวซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าเงื่อนไขทางการเงินของหุ้นกู้ของบริษัทที่ 3 เท่าอีกด้วย
ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้มีความเข้มแข็ง ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทซึ่งวัดจากอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายนั้นอยู่ในระดับเพียงพอแม้ว่าจะมีแนวโน้มถดถอยลงก็ตาม โดยอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 2.9 เท่าในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562 จาก 4.8 เท่าในปี 2560 เนื่องจากกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีในส่วนนี้ของบริษัทยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดัน อย่างไรก็ตาม ทริสเรทติ้งคาดว่าอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายของบริษัทจะอยู่ที่ระดับ 3-4 เท่าในปี 2562-2565 จากการคาดการณ์ที่ว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีเอาไว้ได้ในขณะที่ยังคงรักษาระดับภาระหนี้และต้นทุนทางการเงินไม่ให้สูงไปกว่าเดิมในระยะ 2-3 ปีข้างหน้า ทั้งนี้ บริษัทมีอัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อหนี้สินทางการเงินที่ปรับให้เป็นตัวเลขเต็มปีแล้วอยู่ที่ระดับ 35.5% ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2562
สภาพคล่องที่เพียงพอ ทริสเรทติ้งประเมินว่าบริษัทจะมีสภาพคล่องอยู่ในระดับที่เพียงพอเนื่องจากแหล่งสภาพคล่องคาดว่าจะคิดเป็นประมาณ 2.2 เท่าของการใช้สภาพคล่องของบริษัทในปี 2562 โดยแหล่งสภาพคล่องของบริษัทประกอบไปด้วยเงินสดในมือ เงินทุนจากการดำเนินงานที่ประมาณ 1 พันล้านบาท และวงเงินสินเชื่อที่บริษัทมีอยู่ในปัจจุบัน ในขณะที่ค่าใช้จ่ายของบริษัทประกอบไปด้วยการชำระคืนหนี้ในจำนวนที่น้อยกว่า 1 พันล้านบาท เงินลงทุนที่ประมาณ 1.7 พันล้านบาท และรายจ่ายเงินปันผลแก่ผู้ถือหุ้น นอกจากนี้ บริษัทยังสามารถระดมทุนทั้งจากตลาดตราสารทุนและตลาดตราสารหนี้ซึ่งน่าจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นทางการเงินให้แก่บริษัทได้อีกส่วนหนึ่งด้วย
สมมติฐานกรณีพื้นฐาน
ทริสเรทติ้งตั้งสมมติฐานกรณีพื้นฐานสำหรับการดำเนินงานของบริษัทในระหว่างปี 2562-2565 ดังต่อไปนี้
อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรถเช่าจะอยู่ที่ระดับประมาณ 15%
อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อรายได้จะอยู่ระหว่าง 13%-14%
เงินลงทุนจะอยู่ที่ระดับประมาณ 1.5-1.7 พันล้านบาท
แนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่" สะท้อนการคาดการณ์ของทริสเรทติ้งว่าบริษัทจะยังคงสามารถดำรงสถานะทางธุรกิจและการเงินเอาไว้ได้เช่นเดิม ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตยังอยู่บนพื้นฐานความคาดหมายว่าบริษัทจะยังคงรักษาภาระหนี้ในระดับต่ำและดำรงความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ที่เข้มแข็ง รวมถึงมีผลประกอบการทางการเงินที่น่าพอใจต่อไปด้วย
ปัจจัยที่อาจทำให้อันดับเครดิตเปลี่ยนแปลง อันดับเครดิตอาจได้รับการปรับเพิ่มขึ้นหากสถานะทางธุรกิจของบริษัทปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในขณะที่ยังคงสถานะทางการเงินและความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ได้อย่างต่อเนื่องยาวนานในระดับหนึ่ง ในทางกลับกัน อันดับเครดิตและ/หรือแนวโน้มอันดับเครดิตอาจได้รับการปรับลดลงหากสถานะทางธุรกิจของบริษัทเสื่อมถอยลงอย่างมีนัยสำคัญ หรือหากผลประกอบการทางการเงินหรือความสามารถในการสร้างกระแสเงินสดเพื่อการชำระหนี้ของบริษัทถดถอยลงโดยมีอัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่ายและภาษีต่อดอกเบี้ยจ่ายต่ำกว่า 2 เท่า