นายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ฯ เปิดเผยว่า คณะกรรมการ ตลท.มีมติให้เพิ่มอัตราการวางหลักประกันเป็น 15% ของวงเงินที่จะซื้อหลักทรัพย์ จากเดิม 10% สำหรับบัญชีเงินสดของผู้ลงทุนบุคคลทั้งในและต่างประเทศ พร้อมกับได้อนุมัติให้เพิ่มประเภททรัพย์สินที่สามารถนำมาวางเป็นหลักประกัน เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 มิถุนายน 2551 เป็นต้นไป
การปรับเพิ่มอัตราการวางหลักประกันเป็น 15% ของวงเงินที่จะซื้อหลักทรัพย์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงของระบบชำระราคาและอุตสาหกรรมโดยรวม และสร้างความมั่นคงให้ระบบการซื้อขายมากขึ้น
“สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ได้แจ้งผลการศึกษาในเรื่องการวางหลักประกันการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เหมาะสมสำหรับการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เห็นว่าการเพิ่มอัตราการวางหลักประกันสำหรับบัญชีเงินสดเป็น 15% ของวงเงินที่จะซื้อหลักทรัพย์ เป็นการป้องกันความเสี่ยงทางด้านการชำระราคาสำหรับตลาดหุ้นไทยในปัจจุบัน และเป็นการเสริมสร้างเสถียรภาพของตลาดทุนโดยรวม" นายสุทธิชัย กล่าว
นอกจากนี้ คณะกรรมการฯ ได้อนุมัติให้เพิ่มหลักเกณฑ์ให้ ตลท.พิจารณาประเภททรัพย์สินที่สามารถวางเป็นหลักประกันได้ เพื่อเปิดกว้างให้ลูกค้าสามารถนำทรัพย์สินมาวางหลักประกันเพิ่มเติมได้ โดยทรัพย์สินดังกล่าวต้องมีสภาพคล่องสูงและความเสี่ยงต่ำ เพื่อรองรับตราสารใหม่ ๆ ที่จะมีในอนาคต
ปัจจุบันทรัพย์สินที่วางเป็นประกันตามเกณฑ์ของสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์(ก.ล.ต.)มี 8 ประเภท ได้แก่ เงินสด หลักทรัพย์จดทะเบียน ตั๋วเงินคลัง พันธบัตรรัฐบาล หุ้นกู้ ตั๋วสัญญาใช้เงิน บัตรเงินฝาก หนังสือคำประกัน ซึ่งไม่ครอบคลุมถึงตราสารในการลงทุนทั้งหมด เช่น หน่วยลงทุนในตราสารหนี้ เป็นต้น
--อินโฟเควสท์ โดย สารภี สายะเวส/รัชดา/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--