บล.ไทยพาณิชย์ (SCBS) เตรียมทุ่มงบลงทุนราว 100 ล้านบาทเพื่อพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อตอบโจทย์นักลงทุน และตั้งเป้าเพิ่มลูกค้าใหม่อีก 5-6 หมื่นบัญชี จากปัจจุบันที่มีอยู่ 1.7 แสนบัญชี พร้อมทั้งเตรียมปรับโมเดลธุรกิจครั้งใหญ่เพื่อรับมือการแข่งขันด้านราคาค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชั่น) โดยคาดในปีหน้าสัดส่วนรายได้จากค่าคอมมิชชั่นของบริษัทจะลดลงเหลือต่ำกว่า 50% จากปัจจุบันอยู่ในระดับ 70%
นายกัมพล จันทวิบูลย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SCBS เปิดเผยว่า ในปี 2563 บริษัทฯ เตรียมทุ่มงบลงทุนราว 100 ล้านบาทเพื่อพัฒนาระบบปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อตอบโจทย์นักลงทุน อาทิ การปรับปรุงการให้บริการลงทุนผ่านแอพพลิเคชั่น "EASY INVEST" ให้บริการซื้อขายกองทุนรวม และตราสารหนี้ ในลักษณะ DIY และ Automated Service ได้แก่ "Robo Advisor" ที่สามารถบริหารพอร์ตกองทุนรวมอัตโนมัติด้วยสมองกลอัจฉริยะ หรือ AI โดยเป็นรูปแบบการเลือกกองทุนรวมของทั้ง 17 บลจ. ที่มีผลตอบแทนที่ดีที่สุดเหมาะสมกับสไตล์ผู้ลงทุน เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ทั้งในประเทศและต่างประเทศ คาดว่าจะเปิดให้บริการอย่างเป็นทางการในช่วงปลายปีนี้
นอกจากนั้น บริษัทกำลังพัฒนาระบบ AI เพื่อให้นักลงทุนสามารถลงทุนหุ้นในต่างประเทศได้ด้วยตัวเอง มีข้อมูลครบถ้วนประกอบการตัดสินใจลงทุน เบื้องต้นคาดว่าจะเปิดบริการเป็นทางการได้ในช่วงไตรมาส 1/63 และจากการลงทุนปรับแพลตฟอร์มการลงทุนโดยนำเทคโนโลยีเข้ามาให้บริการมากขึ้น ทำให้ในปีนี้มีจำนวนลูกค้าที่เข้ามาเปิดบัญชีใหม่ราว 70,000 บัญชี ส่งผลให้ปัจจุบันพอร์ตลูกค้ารวมของบริษัทเพิ่มขึ้นมาเป็น 170,000 บัญชี พร้อมกับเชื่อว่าภายในปี 2563 คาดจะมีจำนวนลูกค้าใหม่เข้ามาเปิดบัญชีกับบริษัทอีกราว 50,000-60,000 บัญชี
"ที่ผ่านมาเราไม่เคยลงไปแข่งขันเรื่องค่าคอมฯ เรามุ่งเน้นพัฒนาระบบ AI และคุณภาพการให้บริการด้านต่างๆ เพื่อตอบโจทย์นักลงทุนคุ้มค่าผลตอบแทน ขณะที่ปัจจุบันแนวโน้มธุรกิจรายได้จากค่าคอมฯ ก็จะถูกลดลงไปเรื่อยๆ ตามเทรนด์อุตสาหกรรมหลักทรัพย์ของโลก ถ้าในกรณีไทยเปิดเสรีให้บริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติต่อท่อเข้ามาซื้อขายได้โดยตรงกับตลาดหลักทรัพย์ฯ จากปัจจุบันที่ยังต้องผ่านตัวกลางบริษัทหลักทรัพย์ในไทยที่ได้รับใบอนุญาต มีความเป็นไปได้ว่าการแข่งขันของธุรกิจหลักทรัพย์ในไทยรุนแรงมากกว่าในปัจจุบันอย่างแน่นอน"นายกัมพล กล่าว
ดังนั้น บริษัทฯ อยู่ระหว่างการปรับโครงสร้างธุรกิจครั้งใหญ่ คาดว่ามีความชัดเจนในปี 2563 เพื่อรองรับกับการแข่งขันรุนแรงในอุตสาหกรรมหลักทรัพย์ที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว ส่งผลให้ทิศทางรายได้ในส่วนธุรกิจนายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ (คอมมิชชั่น) ปรับตัวลดลง
ทั้งนี้ จากแผนดังกล่าวจะทำให้สัดส่วนรายได้จากธุรกิจค่านายหน้าซื้อขายหลักทรัพย์ลดลงเหลือต่ำกว่า 50% จากปัจจุบันอยู่ในระดับ 70% ขณะที่สัดส่วนรายได้ที่เหลือมากกว่า 50% เป็นธุรกิจอื่นที่มุ่งเน้นคุณภาพการให้บริการเป็นหลัก