นางปรียนาถ สุนทรวาทะ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บี.กริม เพาเวอร์ (BGRIM) เปิดเผยว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/62 ยังอยู่ในเกณฑ์ดี โดยมีกำไรจากการดำเนินงานจากงบการเงินรวม 1,225 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือใหญ่ 715 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 69% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 24.3% จากไตรมาสก่อนและถือเป็นระดับที่สูงที่สุด จากการรับรู้ผลการดำเนินงานจากการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นไตรมาสแรกที่รับรู้ผลการดำเนินงานเต็มไตรมาสโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในเวียดนาม (DT1&2 และ Phu Yen TTP) และโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ Nam Che 1 ซึ่งเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน มิ.ย.62
ประกอบกับ ปริมาณการใช้เชื้อเพลิง (heat rate) ของโครงการโรงไฟฟ้า ABP3 ที่ลดลงหลังจากการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องผลิตไฟฟ้ากังหันก๊าซเสร็จสิ้นในช่วงต้นปี ขณะที่อัตรากำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ,ภาษี,ค่าเสื่อม และค่าตัดจำหน่าย (EBITDA) ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 28.3% จากเพิ่มขึ้นของสัดส่วนรายได้จากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ซึ่งให้อัตรากำไร EBITDA ในระดับสูง
อย่างไรก็ตาม เมื่อรวมกำไรหรือขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงและรายจ่ายอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานแล้ว ส่งผลให้มีกำไรสุทธิจากงบการเงินรวมอยู่ที่ 1,287 ล้านบาท เป็นส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่ที่ 763 ล้านบาท
ทั้งนี้ ในไตรมาส 3/62 มีรายได้จากการขายและการให้บริการ เพิ่มขึ้น 21% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยเป็นผลมาจากการขยายกำลังการผลิตไฟฟ้าถึง 856 เมกะวัตต์ (MW) ในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา จากการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ 11 โครงการ (โรงไฟฟ้า SPP 1 โครงการ (APBR5), โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ในประเทศไทย 7 โครงการ, โรงไฟฟ้าพลังงานน้ำ Nam Che 1 ในสปป. ลาว และโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ ในเวียดนาม 2 โครงการ) และการเข้าซื้อโครงการ SPP1 ในเดือน มี.ค.62
นางปรียนาถ กล่าวว่า บริษัทได้ลงนามความร่วมมือกับ PetroVietnam Power Corporation-JSC ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ของเวียดนามเมื่อต้นเดือน พ.ย.เพื่อศึกษาการพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) เป็นเชื้อเพลิง ขนาดกำลังการผลิตรวม 3,000 เมกะวัตต์ รวมถึงการนำเข้าและจำหน่าย LNG เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงสำหรับโรงงานผลิตไฟฟ้าในประเทศเวียดนาม
ส่วนโครงการโรงไฟฟ้าขยะอุตสาหกรรม Interchem กำลังการผลิตติดตั้ง 4.8 เมกะวัตต์ เดินหน้าก่อสร้างตามแผน มีความคืบหน้าในการก่อสร้างแล้ว 87% ซึ่งอยู่ระหว่างการวางระบบระบายน้ำของโครงการ และก่อสร้างอาคารซ่อมบำรุงและอาคารคาร์บอนแบล็ค โดยมีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในเดือน ธ.ค.62
ปัจจุบัน สัดส่วนกำลังการผลิตจากพลังงานหมุนเวียนได้เพิ่มขึ้นเป็น 30% จากเดิม 8% ในขณะที่สัดส่วนกำลังการผลิตจากโครงการในต่างประเทศเพิ่มขึ้นเป็น 25% จากเดิม 2% ตอกย้ำการเป็นบริษัทชั้นนำในระดับภูมิภาค ยิ่งไปกว่านั้นบริษัทอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการใหม่อีกเป็นจำนวนมากทั้งในประเทศและต่างประเทศ เช่น ในประเทศเกาหลีใต้ เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ และมาเลเซีย เป็นต้น โดยในส่วนของโครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์แบบติดตั้งบนหลังคา ได้ทยอยลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าและดำเนินการก่อสร้างในประเทศไทย โอมาน และฟิลิปปินส์ รวมแล้วกว่า 60 เมกกะวัตต์
ส่วนความคืบหน้าการพัฒนาโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมนั้น โครงการโรงไฟฟ้าทั้ง 5 ของบริษัทได้รับใบอนุญาตทั้งหมด พร้อมทั้งหนังสือตอบรับการซื้อไฟฟ้าจากการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เรียบร้อยแล้ว และอยู่ระหว่างรอลงนามในสัญญาซื้อขายไฟฟ้าฉบับใหม่ที่มีอายุสัญญา 25 ปี โดยมีกำหนดการเปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ในปี 65 ขณะที่โครงการโรงไฟฟ้า ABP1 ซึ่งหมดอายุสัญญากับ กฟผ.เมื่อวันที่ 17 ก.ย.ได้เริ่มเข้าสู่ช่วงการต่ออายุรับซื้อไฟฟ้าออกไปอีก 3 ปี ก่อนที่การก่อสร้างโรงไฟฟ้าใหม่ทดแทนโรงไฟฟ้าเดิมจะแล้วเสร็จ