รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เปิดเผยว่า หลังจากที่คณะกรรมการพิจารณามาตรการลงโทษทางแพ่ง (ค.ม.พ.) มีมติให้นำมาตรการลงโทษทางแพ่งมาใช้บังคับกับผู้กระทำผิดรายนายสุรินทร์ บรรยงพงศ์เลิศ กรณีสร้างราคาหลักทรัพย์ บมจ.ปิโก (ไทยแลนด์) (PICO) ในช่วงวันที่ 25 กรกฎาคม 2560 ถึงวันที่ 9 สิงหาคม 2560 โดยให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง รวม 18,430,644.75 บาท พร้อมดอกเบี้ย 7.5% ต่อปี และห้ามซื้อขายหลักทรัพย์เป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน รวมทั้งห้ามเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 3 ปี แต่นายสุรินทร์ไม่ยินยอมปฏิบัติตามมาตรการลงโทษดังกล่าว
ต่อมาเมื่อวันที่ 26 ธันวาคม 2561 พนักงานอัยการได้ยื่นฟ้องคดีนายสุรินทร์ต่อศาลแพ่ง เพื่อขอให้ศาลกำหนดมาตรการลงโทษทางแพ่งกับนายสุรินทร์ เป็นคดีหมายเลขดำที่ พ. 7563/2561 ระหว่าง ก.ล.ต. ในฐานะโจทก์ และนายสุรินทร์ ในฐานะจำเลย
และ เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 2562 ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาคดีหมายเลขแดงที่ พ. 5396/2562 ข้างต้น ให้จำเลยรับผิดตามฟ้องของโจทก์ โดยให้ชำระเงินค่าปรับทางแพ่ง ชดใช้เงินในจำนวนที่เท่ากับผลประโยชน์ที่ได้รับหรือพึงได้รับจากการกระทำความผิด และชดใช้ค่าใช้จ่ายเนื่องจากการตรวจสอบการกระทำความผิด รวมเป็นเงินจำนวน 18,430,644.75 บาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตรา 7.5% ต่อปี ของต้นเงินดังกล่าว นับแต่วันฟ้องเป็นต้นไปจนกว่าจะชำระเสร็จแก่โจทก์
อีกทั้งมีคำสั่งห้ามจำเลยเข้าซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์หรือศูนย์ซื้อขายหลักทรัพย์ หรือเข้าผูกพันตามสัญญาซื้อขายล่วงหน้าในศูนย์ซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน และห้ามจำเลยเป็นกรรมการหรือผู้บริหารในบริษัทที่ออกหลักทรัพย์หรือบริษัทหลักทรัพย์เป็นเวลา 3 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา (วันที่ 16 ตุลาคม 2562) เป็นต้นไป กับให้จำเลยใช้ค่าธรรมเนียมศาลและค่าทนายความแทนโจทก์ แต่จำเลยมิได้ชำระเงินตามมาตรการลงโทษทางแพ่งภายในเวลาที่ศาลกำหนด
ดังนั้น เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2562 ก.ล.ต. จึงขอให้ศาลแพ่งออกหมายบังคับคดี เพื่อยึดหรืออายัดทรัพย์สินของจำเลยมาชำระหนี้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาดังกล่าวต่อไป
อนึ่ง ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ระหว่างที่คู่ความขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์