รายงานข่าวจากบมจ. ท่าอากาศยานไทย (AOT) หรือ ทอท. เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการทอท. ซึ่งมีนายประสงค์ พูนธเนศ เป็นประธานกรรมการ มีมติเห็นชอบแผนแม่บทท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (พฤศจิกายน 2562) และเห็นชอบโครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
ทั้งนี้ โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) ซึ่งอยู่ในระยะที่ 3 เมื่อผ่านความเห็นชอบจากคณะกรรมการ ทอท.แล้ว ฝ่ายบริหาร ทอท.จะนำเสนอกระทรวงคมนาคมและ สศช.เพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาต่อไป
สาระสำคัญของแผนแม่บท ทสภ. (พฤศจิกายน 2562) คือ (1) ปรับปรุงข้อมูลการเชื่อมท่าอากาศยานทั้ง 3 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และท่าอากาศยานอู่ตะเภา ให้สอดคล้องกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (Eastern Economic Corridor : ECC) (2) ปรับปรุงข้อมูลการการคาดการณ์ปริมาณการขนส่งทางอากาศให้เป็นปัจจุบัน โดยคำนึงถึงปริมาณผู้โดยสารส่วนที่เกินขีดความสามารถของท่าอากาศยานดอนเมืองในอนาคต
(3) เพิ่มเติมข้อมูลการจัดสรรสายการบินที่ให้บริการประจำอาคารผู้โดยสารหลัก (Main Terminal Building: MTB) อาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 (SAT1) และส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) ตามที่ ACC ได้ให้ความเห็น (4) เพิ่มเติมข้อมูลการกำหนดทางเลือกในการจัดวางอาคารผู้โดยสารเพื่อให้สอดคล้องกับปริมาณความต้องการใช้งาน และ (5) ปรับลำดับการพัฒนา ทสภ. (Phasing) ให้มีขีดความสามารถสอดคล้องกับปริมาณการขนส่งทางอากาศ ดังนี้
ระยะที่ 1 ประกอบด้วย อาคารผู้โดยสาร และทางวิ่ง 2 เส้น (ปัจจุบัน) สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 45 ล้านคนต่อปี และเที่ยวบิน 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
ระยะที่ 2 (ปีงบประมาณ 2554-2560 ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 1 เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารของ ทสภ.ได้ 60 ล้านคนต่อปี และเที่ยวบินได้ 68 เที่ยวบินต่อชั่วโมง กำหนดแล้วเสร็จปี 2563
ระยะที่ 3 (ดำเนินการระหว่างปี 2559-2565) ประกอบด้วย การก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 3 และการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศเหนือ (North Expansion) เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 90 ล้านคนต่อปี และเที่ยวบินได้ 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
ระยะที่ 4 (ดำเนินการระหว่างปี 2564-2569) ประกอบด้วยการก่อสร้างอาคารเทียบเครื่องบินรองหลังที่ 2 เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 105 ล้านคนต่อปี และเที่ยวบินได้ 94 เที่ยวบินต่อชั่วโมง
ระยะที่ 5 (ดำเนินการระหว่างปี 2568-2573) ประกอบด้วย การก่อสร้างอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ และการก่อสร้างทางวิ่งเส้นที่ 4 เพื่อให้สามารถรองรับผู้โดยสารได้ 150 ล้านคนต่อปี และเที่ยวบินได้ 120 เที่ยวบินต่อชั่วโมง และการพัฒนาเพิ่มเติม โดยการก่อสร้างส่วนต่อขยายด้านทิศตะวันออกและทิศตะวันตกในอาคารผู้โดยสารในระยะท้ายสุดของแผนพัฒนา ทสภ.เพื่อลดผลกระทบจากการก่อสร้างต่อการให้บริการในอาคารผู้โดยสารของ ทสภ.ในปัจจุบัน
นอกจากนี้ที่ประชุมฯ ยังเห็นชอบโครงการกระตุ้นตลาดด้านการบินและการท่องเที่ยวไทยระยะสั้น โดยคณะกรรมการ ทอท.มีมติอนุมัติโครงการกระตุ้นตลาดด้านการบินและการท่องเที่ยวไทยระยะสั้น ณ ท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท.ทั้ง 6 แห่ง โดยให้ส่วนลดค่าบริการขึ้นลงอากาศยาน (Landing Fee) แก่เที่ยวบินเช่าเหมาลำระหว่างประเทศ (International Chartered Flight) เพื่อการขนส่งผู้โดยสาร โดยเริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2562 – 30 เมษายน 2563
ทอท.ได้ดำเนินการศึกษาและวิเคราะห์ตลาดนักท่องเที่ยวของประเทศไทยแล้ว เห็นว่า เพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศที่มีการเติบโตลดลงในปีงบประมาณ 2562 โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดนักท่องเที่ยวจีน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่สุด รองลงมาคือ ตลาดอินเดียและรัสเซีย ให้มีการเติบโตเชิงบูรณาการในการขับเคลื่อนการท่องเที่ยวและสร้างรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติให้กับประเทศไทย รวมทั้งเป็นไปตามนโยบายของคณะกรรมการรัฐมนตรีฝ่ายเศรษฐกิจ ที่ให้กระทรวงคมนาคม กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องพิจารณากำหนดมาตรการเพื่ออำนวยความสะดวกหรือสร้างแรงจูงใจในการเดินทางมายังประเทศไทยเพิ่มเติม นอกเหนือจากการอำนวยความสะดวกเรื่องวีซ่า
ดังนั้น ทอท.จึงได้จัดทำโครงการกระตุ้นตลาดด้านการบินและการท่องเที่ยวไทยระยะสั้น โดยให้ส่วนลดค่าบริการขึ้นลงอากาศยาน (Landing Fee) ของเครื่องบินเช่าเหมาลำ โดยอัตโนมัติในอัตราร้อยละ 50 ของอัตราปกติ แก่เที่ยวบิน เช่าเหมาลำระหว่างประเทศ (International Chartered Flight) เพื่อการขนส่งผู้โดยสาร โดยไม่นับรวมเที่ยวบินพิเศษ (Extra Flight) ที่มาทำการบิน ณ ท่าอากาศยาน ทั้ง 6 แห่งของ ทอท. ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ท่าอากาศยานดอนเมือง ท่าอากาศยานภูเก็ต ท่าอากาศยานเชียงใหม่ ท่าอากาศยานหาดใหญ่ และท่าอากาศยานแม่ฟ้าหลวง เชียงราย มีระยะเวลาโครงการฯ 5 เดือน คือระหว่างวันที่ 1 ธันวาคม 2562 – 30 เมษายน 2563
จากการดำเนินการโครงการดังกล่าว ทอท.คาดว่าจะสามารถเพิ่มเที่ยวบินในช่วงตารางการบินไม่คับคั่ง และส่งเสริมการตลาดด้านการบินของ ทอท.เพื่อให้เกิดการใช้ประโยชน์ได้อย่างสูงสุด อีกทั้งยังสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลที่ต้องการให้ภาคการท่องเที่ยวร่วมมือกันดำเนินการกระตุ้นการท่องเที่ยวในภาพรวมและขยายฐานการท่องเที่ยวให้กว้างขึ้น อันจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจและรายได้ของประเทศในภาพรวมต่อไป