โบรกเกอร์เชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.อีสเทิร์นโพลีเมอร์ กรุ๊ป (EPG) เล็งธุรกิจกำลัง Turnaround จากทิศทางเม็ดพลาสติกในงวดปี 62/63 (เม.ย.62-มี.ค.63) คาดปรับตัวลงลักษณะซึมยาว
EPG ใช้เม็ดพลาสติก HDPE และ PP เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต ขณะที่ซัพพลายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตของโรงงานขนาดใหญ่เพิ่มเข้ามาพร้อมกัน และเข้าสู่ตลาดเร็วกว่ากำหนดการเดิม จึงเป็นผลบวกต่อผลดำเนินงานของ EPG ด้วยการหนุน gross profit margin (GPM) เพิ่มขึ้นจากราคาวัตถุดิบทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
ทั้งนี้ กำไรในงวดครึ่งปีหลังของปี 62/63 (ต.ค.62-มี.ค.63) คาดว่าจะกลับมาเติบโตโดดเด่นถึง +62% YoY จากต้นทุนวัตถุดิบเม็ดพลาสติกที่ลดลง และคาดว่ากำไรสุทธิจะกลับเป็นขาขึ้นต่อเนื่องในงวดปี 63/64
ล่าสุด เมื่อวลา 14.30 น.หุ้น EPG อยู่ที่ 7.75 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท (+1.31%) ขณะที่ SET +0.58%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย (บาท/หุ้น) เอเชีย เวลท์ ซื้อ 9.20 เคทีบี (ประเทศไทย) ซื้อ 9.40 ฟินันเซีย ไซรัส ซื้อ 10.00 ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 8.50
น.ส.จิตรา อมรธรรม รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า EPG มีผลประกอบการที่ฟื้นตัวมาอย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 ไตรมาสที่ผ่านมา โดยได้รับปัจจัยหนุนหลักจากต้นทุนด้านวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง และราคาวัตถุดิบมีโอกาสที่จะทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ หรืออาจจะปรับตัวลดลงอีก ตามราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
"ด้วยราคาวัตถุดิบในการผลิตยังคงทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ และมีโอกาสที่ราคาวัตถุดิบจะปรับตัวลดลงอีก ด้วยราคาน้ำมันที่ยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำอยู่ จะช่วยหนุนให้ผลประกอบการในช่วงครึ่งปีหลังของงวดปี 62/63 (ต.ค.62-มี.ค.63) เติบโตอย่างต่อเนื่อง"น.ส.จิตรา กล่าว
บทวิเคราะห์ฯ บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุว่า ได้ปรับกำไรงวดปี 63/64 (สิ้นเดือน มี.ค.) ขึ้นราว 10% โดยการปรับเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้น ทำให้กำไรสุทธิงวดปี 62/63 (สิ้นสุด มี.ค.63) เป็น 1,150.0 ล้านบาท +27% Y-Y และงวดปี 63/64 (สิ้นสุด มี.ค.64) เป็น 1,321.9 ล้านบาท +15% Y-Y
ด้านบล. เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แม้ผู้บริหารจะปรับลดเป้าการเติบโตของรายได้งวดปี 62/63 (เม.ย.62-มี.ค.63) ลงเหลือเติบโต 5-6% YoY จากเดิมที่คาดว่าจะมีการเติบโต 8-10% YoY จากเงินบาทที่แข็งค่า และธุรกิจชิ้นส่วนรถยนต์ (Aeroklas) ชะลอตัว แต่รายได้ที่เติบโตน้อยลงจะถูกชดเชยด้วย gross profit margin (GPM) ที่เพิ่มขึ้นเป็น 29-31% (เดิม 28-30%) โดยได้ผลบวกจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงต่อเนื่องและ utilization rate ที่สูงขึ้น
ทั้งนี้ ประเมินกำไรสุทธิงวดปี 62/63 ที่ 1.1 พันล้านบาท +21% YoY จากรายได้ที่ประเมินจะเติบโต +3.4% YoY และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 29.2% โดยกำไรงวดครึ่งหลังของปี 62/63 (ต.ค.62-มี.ค.63) จะกลับมาเติบโตโดดเด่นถึง +62% YoY จากต้นทุนวัตถุดิบเม็ดพลาสติกที่ลดลง ส่งผลบวกต่อธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (EPP) และธุรกิจฉนวนกันความร้อน/เย็น (Aeroflex) ที่ยังมีทิศทางดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจากการเติบโตในสหรัฐและญี่ปุ่นซึ่งเลือกใช้สินค้าระดับพรีเมี่ยม
พร้อมมองว่าราคาหุ้นจะยังคงได้ปัจจัยหนุนต่อจากกำไรสุทธิในงวดครึ่งหลังของปี 62/63 (ต.ค.62-มี.ค.63) ที่จะเติบโตได้โดดเด่น และคาดว่ากำไรสุทธิจะกลับเป็นขาขึ้นต่อเนื่องในงวดปี 63/64
ส่วนบล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า ธุรกิจกำลัง Turnaround ทิศทางเม็ดพลาสติกในปี 62-63 คาดว่าจะปรับตัวลงในลักษณะซึมยาว เป็นผลบวกต่อ EPG เนื่องจาก EPG ใช้เม็ดพลาสติก HDPE และ PP เป็นวัตถุดิบสำคัญในการผลิต ซัพพลายผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในตลาดโลกเพิ่มขึ้นจากกำลังการผลิตของโรงงานขนาดใหญ่เพิ่มเข้ามาพร้อมกัน และเข้าสู่ตลาดเร็วกว่ากำหนดการเดิม
ทั้งนี้ ในปี 62/63 จะเป็นปีที่ผลกำไรกลับมาฟื้นตัวดี โดย EPG ตั้งเป้าหมายรายได้งวดปี 62/63 (เม.ย.62-มี.ค.63) จะเติบโตประมาณ 10% จากทุกธุรกิจเติบโตดี การลดต้นทุนการผลิตที่ดีขึ้นจากแนวโน้มราคาเม็ดพลาสติกประเภท HDPE และ PP ที่ปรับตัวลง โดยผู้บริหารของ EPG คาดว่าราคาเม็ดพลาสติกจะปรับตัวลงยาวนานถึง 2 ปีนับจากปีนี้