TIES คาดปี 51 พลิกกำไร, รายได้ 1.5 พันลบ.ลดลงจาก 1.6 พันลบ.ปี 50

ข่าวหุ้น-การเงิน Friday February 29, 2008 15:26 —สำนักข่าวอินโฟเควสท์ (IQ)

          นายธีรพล เต็มสุข รองกรรมการผู้จัดการฝ่ายบริหาร บมจ. ไทยบริการอุตสาหกรรมและวิศวกรรม (TIES) กล่าวว่า ปีนี้บริษัทจะหันมารับงานก่อสร้างที่มีลักษณะพิเศษและงานเฉพาะทางมากขึ้นเนื่องจากมีมาร์จิ้นที่สูงกว่าปกติ และสูงกว่าอุตสาหกรรมที่เฉลี่ย 6-8% อีกทั้งยังเป็นการช่วยในการเพิ่มกำไรในปี 51 ที่คาดว่าจะเริ่มเห็นกำไรจากที่ปีก่อนขาดทุน 216 ล้านบาท ถึงแม้ปัจจุบันต้นทุนเหล็กซึ่งเป็นวัตถุดิบหลักจะปรับขึ้นสูงมาอยู่ 30 บาท/กก. จากช่วงปลายปี 50 อยู่ที่ 26-27 บาท/กก.จากราคาวัตถุดิบที่ปรับเพิ่มขึ้นอาจจะส่งผลให้ตัว Gross Margin ของบริษัทลดลงมาอยู่ที่ 6-8% จาก 10% ในปีก่อน
นอกจากนี้การที่บริษัทมีการบริหารต้นทุนโดยการทบทวนตัวเลขโดยการเอาต้นทุนจริงที่เกิดขึ้นในการก่อสร้าง ทำให้ในปี 51 จะเห็นต้นทุนที่แท้จริง
"ปีนี้ที่เราไม่สามารถจ่ายปันผล เพราะขาดทุน ซึ่งเกิดจากการที่เราได้มีการตั้งสำรองค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญ ซึ่งจะครอบคลุมและเห็นต้นทุนที่เกิดขึ้นจริง และจะทำให้เราเห็นภาพการทำงานในปี 51 ชัดขึ้นและยังเป็นการรองรับความผันผวนจากราคาวัตถุดิบที่ไม่รู้ว่าจะปรับมากแค่ไหนและนานเท่าไหร่"
ทั้งนี้ ในส่วนของรายได้ คาดว่าจะอยู่ที่ 1.5 พันล้านบาท ลดลงจากปี 50 ที่ 1.6 พันล้านบาท เนื่องจากความไม่แน่นอนของภาวะเศรษฐกิจที่ยังกังวลและการแข่งขันที่รุนแรงภายใต้ราคาวัตถุดิบที่ปรับขึ้น นอกจากนี้การตั้งตัวเลขรายได้ในปีนี้ที่ไม่ให้สูงเมื่อเทียบกับปีก่อนเพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถที่ทำได้ในปีนี้ อีกทั้งตัวเลขในปีก่อนที่สูงกว่าที่บริษัทคาดว่าจะได้ 1.4 พันล้านบาท
นายธีรพล กล่าวต่อว่า ในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จาก Backlog รวม 840 ล้านบาท ซึ่งเป็นงานใหม่ที่เพิ่งรับเข้ามา 390 ล้านบาท ประกอบด้วยงานก่อสร้าง รพ.กรุงเทพภูเก็ต และการก่อสร้างบริษัท HMC Polymer และงานก่อสร้างของสถานฑูตอเมริกา และยังอยู่ระหว่างยื่นประมูลโครงการใหม่อีก 4 โครงการ มูลค่าก่อสร้างรวม 500 ล้านบาท โดยจะรู้ผลกลางเดือน มี.ค.และหวัง 20-25% แบ่งเป็นการก่อสร้างโรงงานอุตสาหกรรม 2 แห่ง,ก่อสร้างโครงสร้างคอนโดฯ 2 อีกทั้งยังมีแผนจะเข้าไป Sub-contractor ให้กับบริษัทข้ามชาติในต่างประเทศแถบเอเชีย 2-3 โครงการ ซึ่งจะรู้ผลในช่วงไตรมาส 3 ปัจจุบันสัดส่วนรายได้ 60% มาจาก 40% จากโรงพยาบาล ห้างสรรพสินค้า อาคารที่พักอาศัย โรงเรียน
สำหรับราคาหุ้นที่ปรับลดลงในวันนี้ น่าจะเกิดจาการที่นักลงทุนเห็นตัวเลขผลประกอบการที่มีขาดทุนและไม่เชื่อมั่นในการเติบโตของอุตสาหกรรมที่ขณะนี้มีการแข่งขันที่รุนแรงจึงหันไปลงทุนในกลุ่มอื่นแทน

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และ ข้อตกลงการใช้บริการ รับทราบ