นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.บางจาก คอร์ปอเรชั่น (BCP) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนใช้เงินลงทุนราว 800 ล้านบาท เพื่อขยายสถานีบริการน้ำมันในปี 63 จำนวน 60 แห่ง จากสิ้นปีนี้ที่คาดว่าจะมีสถานีบริการน้ำมัน 1,200 แห่ง โดยงบลงทุนดังกล่าวไม่รวมการปรับปรุงสถานีบริการน้ำมันและลงทุนถังเก็บน้ำมันรองรับน้ำมันดีเซล B10 ซึ่งคาดว่าใช้เงินลงทุนหลัก 10 ล้านบาทขึ้นไป
นอกจากนี้บริษัทคาดว่าในปี 63 จะมีกำลังการกลั่นเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 แสนบาร์เรล/วัน เทียบกับระดับเฉลี่ยปีนี้ที่ 1.1-1.2 แสนบาร์เรล/วัน ซึ่งกำลังการกลั่นในระดับดังกล่าวนับว่าเต็มกำลังการกลั่นแล้ว แต่บริษัทยังไม่มีแผนลงทุนโรงกลั่นน้ำมันแห่งใหม่ เนื่องจากมองว่าไม่คุ้มค่าเพราะในอนาคตอีก 20 ปีข้างหน้า รถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามามีบทบาทมากขึ้นและส่งผลกระทบต่อการใช้น้ำมัน
อย่างไรก็ตามกำลังการกลั่นน้ำมันของบริษัทในปัจจุบันยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า ทำให้นำเข้าน้ำมันเบนซินเข้ามาจำหน่ายบางส่วน โดยปัจจุบันจำหน่ายน้ำมันผ่านสถานีบริการน้ำมันราว 350 ล้านลิตร/เดือน แบ่งเป็น น้ำมันดีเซล 60% และน้ำมันเบนซิน 40% หรือประมาณ 140 ล้านลิตร/เดือน ซึ่งในจำนวนนี้บางจากฯจะนำเข้าน้ำมันเบนซิน 40 ล้านลิตร หรือคิดเป็นสัดส่วนนำเข้า 30% ของยอดขายน้ำมันเบนซินทั้งหมด ผ่านบริษัท BCP Trading Pte. Ltd. (BCPT) ซึ่งตั้งอยู่ที่สิงคโปร์ เพื่อทำหน้าที่จัดหาน้ำมันดิบและน้ำมันสำเร็จรูปในกรณีน้ำมันไม่เพียงพอ
สำหรับการขยายสถานีบริการน้ำมันในต่างประเทศ ปัจจุบันบางจากฯมีสถานีบริการอยู่ในเมียนมา 1 แห่ง และเตรียมเปิดอีก 1 แห่งในช่วงต้นปี 63 ขณะที่อยู่ระหว่างศึกษาขยายสถานีบริการน้ำมันในลาว และกัมพูชาด้วย
นายชัยวัฒน์ กล่าวอีกว่า บริษัทเตรียมใช้เงินลงทุนเพื่อปรับปรุงโรงกลั่นให้เป็นไปตามมาตรฐานยูโร 5 ภายในปี 67 โดยจะลงทุนประมาณ 7-8 พันล้านบาท เพื่อปรับปรุงหน่วยกลั่นที่ 2 และ 3 ขณะที่หน่วยกลั่นที่ 4 สามารถผลิตน้ำมันดีเซลมาตรฐานยูโร 5 ได้อยู่แล้ว
นอกจากนี้การเข้าพบนายสนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์ รมว.พลังงาน เมื่อเร็ว ๆ นี้ ทางกระทรวงฯขอความร่วมมือ ในการส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก เพื่อร่วมกระตุ้นเศรษฐกิจ และขอให้สนับสนุนแนวทางการประกาศใช้ดีเซล B10 , แก๊สโซฮอล์ E20 เป็นน้ำมันพื้นฐานหลัก ซึ่งบางจากฯได้เสนอให้กระทรวงฯเร่งตัดสินใจปรับลดประเภทน้ำมันในไทยให้เร็วที่สุด จากที่ปัจจุบัน มีถึง 9 ประเภท แยกเป็นกลุ่มเบนซิน 5 ประเภท ได้แก่เบนซิน 95 แก๊สโซฮอล์ 95, แก๊สโซฮอล์ 91 , E20 และ E85 ส่วนกลุ่มดีเซลมี 4 ประเภท ได้แก่ B7, B10, B20 และดีเซลพรีเมียม ซึ่งแต่ละสถานีมีหัวจ่ายไม่เท่ากัน การเลือกจำหน่าย ประเภทน้ำมัน ต้องดูความต้องการของลูกค้าในพื้นที่เป็นหลัก และการมีน้ำมันหลายประเภทมากเกินไปยังเป็นต้นทุนที่สูงสำหรับผู้ค้าน้ำมันทั้งระบบโลจิสติกส์และอื่น ๆ
สำหรับทิศทางค่าการกลั่นในขณะนี้อยู่ในเกณฑ์ต่ำซึ่งเป็นไปตามภาวะตลาดโลก หลังได้รับผลกระทบจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐและจีน อย่างไรก็ตามในไตรมาส 4/62 โรงกลั่นได้ผ่านพ้นช่วงการปิดซ่อมบำรุงและจะกลับมาเดินเครื่องเต็มที่ และยังได้ผลดีจากเกณฑ์ใหม่ขององค์การทางทะเลระหว่างประเทศ (IMO) ที่กำหนดให้เรือเดินสมุทรใช้น้ำมันเตากำมะถันต่ำ 0.5% จากเดิม 3.5% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.63 จะส่งผลให้ราคาดีเซล และน้ำมันเตากำมะถันต่ำ ปรับตัวดีขึ้น ซึ่งบางจากฯผลิตน้ำมันเตากำมะถัน 0.3% ในสัดส่วน 10% ของกำลังกลั่นและผลิตน้ำมันดีเซล 55% ส่วนที่เหลือเป็นน้ำมันเบนซิน