นายโอฬาร วงศ์สุรพิเชษฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.ไทยรับประกันภัยต่อ (THRE) เปิดเผยว่า บริษัทจัดทำแผนธุรกิจปี 63-65 โดยปรับกลยุทธ์รุกตลาดประกันภัยต่อส่วนบุคคลเพิ่มมากขึ้น ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์และช่องทางใหม่ๆ ควบคู่ไปกับการขยายตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างเต็มรูปแบบ ทั้งธุรกิจประกันภัยต่อและบริการ ด้วยการขยายความร่วมมือกับกลุ่มเครือข่าย Fairfax และนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อาทิ AI และ Blockchain เข้ามาปรับใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงาน ผลักดันผลประกอบการกลับมาฟื้นตัว
ทั้งนั ปี 63 บริษัทตั้งเป้าจะมีเบี้ยประกันภัยต่อสุทธิเพิ่มเป็น 3,800 ล้านบาท จากปี 62 อยู่ที่ราว 3.6 พันล้านบาท รวมทั้งสัญญาประกันภัยต่อจากต่างประเทศคิดเป็นมูลค่ารวมราว 100 ล้านบาท โดยบริษัทเตรียมออกโครงการใหม่ไม่ต่ำกว่า 30 โครงการทั้งในประเทศและต่างประเทศ นอกจากนี้ คาดการณ์ว่าค่าใช้จ่ายในการประกันต่อจะลดลงถึง 130 ล้านบาท จากการลดลงอย่างมากของงานที่มีอัตราความเสียหายสูง
ด้านธุรกิจบริการจะเริ่มให้บริการในต่างประเทศเพิ่มเติมอีก 2 ประเทศ คือ กัมพูชา และ เวียดนาม โดยในกัมพูชาบริษัทได้ลงนามในบันทึกข้อตกลงเบื้องต้น (MOU) จัดตั้งบริษัทเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอการอนุมัติจากรัฐบาลกัมพูชา ขณะที่ตลาดเวียดนามอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายของการสรุปแผนกับพันธมิตร
นอกจากนี้ บริษัทเตรียมนำเทคโนโลยี เช่น AI, Blockchain, มาให้บริการใหม่ๆ
"จากผลประกอบการด้านการรับประกันภัยต่อและธุรกิจบริการ คาดว่าอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) แตะระดับ 5-6% ในปี 63 เพิ่มสูงขึ้นจากปี 62 ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 3-4%"นายโอฬาร กล่าว
พร้อมกันนั้น บริษัทยังตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยในปี 64 เติบโตกว่า 12% จากปี 63 ด้วยการรุกขยายธุรกิจบริการในฟิลิปปินส์ และเพิ่มบริการในกัมพูชา ส่วนด้านการประกันภัยต่อ คาดว่าจะมีสัญญาประกันภัยจากต่างประเทศคิดเป็นมูลค่าราว 150 ล้านบาท โดยจะมีการรับรู้รายได้จากฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย ควบคู่ไปกับการออกโครงการใหม่อีกไม่น้อยกว่า 30 โครงการ และมีค่าใช้จ่ายในการรับประกันภัยต่อลดลง อีกราว 40 ล้านบาท ซึ่งจะหนุน ROE เพิ่มขึ้นแตะระดับ 8%
ขณะที่ปี 65 บริษัทตั้งเป้าผลักดัน ROE เพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องแตะระดับกว่า 10% ไปพร้อมกับการเติบโตของเบี้ยประกันภัยกว่า 15% ภายใต้กลยุทธ์การเดินหน้าขยายตลาดต่างประเทศ ตั้งเป้าสัญญาประกันภัยจากต่างประเทศมีมูลค่าไม่ต่ำกว่า 200 ล้านบาท หลังขยายตลาดเข้าไปยังมาเลเซีย ขณะเดียวกันยังเตรียมแผนขยายธุรกิจบริการในต่างประเทศเพิ่มอีก 1 ประเทศ คือ อินโดนีเซีย และ เพิ่มบริการในเวียดนาม
นายโอฬาร กล่าวเพิ่มเติมว่า ล่าสุดบริษัทได้รับการจัดอันดับความแข็งแกร่งทางการเงินสากล (IFS) จากฟิทช์ เรทติ้งส์ ที่ระดับ A- หรือระดับแข็งแกร่ง แนวโน้มอันดับเครดิตมีเสถียรภาพ สะท้อนถึงโครงสร้างธุรกิจประกันภัยที่แข็งแรง และมีระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ระดับความเสี่ยงทางด้านการลงทุนและสภาพคล่องอยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้บริษัทฯมีศักยภาพการแข่งขันที่ดีขึ้นในระยะยาว และเปิดโอกาสสำหรับธุรกิจใหม่ทั้งในและต่างประเทศ