บมจ.บ้านปู (BANPU) คาดว่าในปี 51 รายได้รวมของบริษัทจะเติบโตขึ้นราว 25% จาก 3.24 หมื่นล้านบาทในปี 50 ตามแนวโน้มราคาถ่านหินเฉลี่ยในปีนี้ที่สูงขึ้น จากปีก่อนอยู่ในระดับ 41.06 เหรียญสหรัฐ/ตัน ขณะที่ตั้งเป้าหมายปริมาณการผลิตถ่านหินในไว้ที่ 20 ล้านตัน ส่วนใหญ่เป็นผลผลิตถ่านหินจากอินโดนีเซียที่จะทดแทนการลดลงของเหมืองถ่านหินในไทยที่กำลังจะปิดตัวลงในปีนี้
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU คาดว่าปีนี้กำไรขั้นต้นของบริษัทจะเกิน 40% สูงกว่าปี 50ที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่ 35% เป็นอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจถ่านหิน 37% ซึ่งเป็นผลจากราคาขายเฉลี่ยถ่านหินของบริษัทในปีนี้เพิ่มขึ้นประมาณ 50% ขณะที่ปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 36% หรือจาก 19.3 ล้านตัน เป็น 20 ล้านตัน และรายได้จากถ่านหินในปีนี้จะมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 90% ของรายได้รวมทั้งหมด หรือจากปีก่อนที่ 88%
"รายได้ที่เราคิดไว้ว่าจะโต 25% เป็นรายได้ที่ส่วนใหญ่มาจากถ่านหิน ภายใต้สมมติฐานค่าเงินบาทที่ 30-31 บาท/ดอลลาร์ จากปีก่อนที่ตั้งไว้ว่าเงินบาทจะอยู่ที่ 34.50 บาท/ดอลลาร์ แม้ว่าจะแข็งแต่ก็เชื่อว่าจะไม่กระทบ แต่ถ้าเงินบาทขึ้นไปถึง 28 บาท ก็คงกระทบแน่นอน" นายชนินทร์กล่าว
สำหรับกลยุทธ์การลงทุนของบริษัทฯ ในปีนี้จะยังคงเน้นขยายการลงทุนในธุรกิจถ่านหินและไฟฟ้าในอินโดนีเซียและจีนเป็นส่วนใหญ่ โดยตั้งเป้าหมายให้ขนาดธุรกิจในจีนมีสัดส่วนใกล้เคียงกับไทยและอินโดนีเซียภายในสิ้นปีนี้
"ในปีที่ผ่านมาบริษัทสร้างมูลค่าเพิ่มของสินทรัพย์ที่มีอยู่ และแสวงหาการลงทุนใหม่ๆ บริษัท ยังขยายธุรกิจถ่านหินและไฟฟ้า ในเชิงรุกมากขึ้น โดยมีเป้าหมายให้ขนาดธุรกิจในจีนมีสัดส่วนที่ไล่เลี่ยกับไทยและอินโดนีเซียในสิ้นปีนี้"นายชนินทร์ กล่าว
ส่วนในอินโดนีเซีย บริษัทยังคงให้ความสำคัญกับการบริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพและต่อเนื่อง ได้แก่ การก่อสร้างโรงไฟฟ้าที่ใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีพลังการผลิตรวม 14 เมกะวัตต์ สำหรับใช้ในการดำเนินงานของท่าเรือบอนตัง และบางส่วนจะนำไปทำเหมือง เพื่อทดแทนต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของเหมือนอินโดนีเซียมินโค ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในครึ่งหลังของปีนี้
ทั้งนี้ คาดว่าท่าเรือบอนตังจะสามารถรองรับการขนถ่ายถ่านหินเพิ่มขึ้นเป็น 18.5 ล้านตัน จาก 12.5 ล้านตัน
ในด้านราคาขายถ่านหิน นายชนินทร์ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ทำสัญญาซื้อขายแล้ว 70% ในราคาเฉลี่ย 53 เหรียญ/ตัน ส่วนที่เหลือ 30% เราจะค่อยๆ ทยอยทำราคา ส่วนที่เหลือ 11% ทำสัญญาแล้ว แต่ยังไม่ตกลงเรื่องราคา และอีก 19% ยังไม่มีการตกลงซื้อขาย
"อีก 30% ที่เหลือ เราจะค่อยๆ ทยอยทำราคา คาดว่าท้ายสุดแล้วจะทำราคาเสร็จปลายๆ ไตรมาส 3 คาดว่าทั้งปีจะขายได้ราคาเฉลี่ย 60 เหรียญ/ตัน ถ้าไม่เกิดเหตุการณ์อะไร ก็จะไม่เปลี่ยนแปลงมาก มองว่าราคาที่ขึ้นไปสูงช่วงนี้ จะเป็นการปรับขึ้นชั่วคราว ก็คงประมาณ 3 เดือน"
การที่ราคาถ่านหินในช่วงนี้ปรับตัวสูงขึ้นมาก เนื่องจากเกิดน้ำท่วมในออสเตรเลีย และหิมะตกหนักในจีน และไฟฟ้าขาดแคลนในอเมริกาใต้ เหตุการณ์เกิดพร้อมกัน ทำให้ supply เข้าสู่ตลาดน้อยลง จะเห็นได้ว่าราคาถ่านหินในตลาดโลก (BJI) ณ 28 ก.พ. ปรับตัวขึ้นไป 127.9 เหรียญ/ตัน
ด้านนางสมฤดี ชัยมงคล ผู้ช่วยผู้อำนวยการการเงิน กล่าวว่า ในไตรมาส1/51 บริษัทจะบันทึกกำไรจากขายเงินลงทุน 2 บริษัท ได้แก่ บริษัทเอเชี่ยน อเมริกัน แก๊ส อิงก์ (AAGI) และบมจ. ลานนารีซอร์สเซส (LANNA) รวมเป็นเงินกว่า 200 ล้านบาท ส่วนการบันทึกรายได้จากการขายหุ้นโครงการหงสาให้กับ บมจ.ราชบุรี 40% คาดว่าจะบันทึกเป็นกำไรในไตรมาส 4/51 จำนวนเงินประมาณ 10-16 ล้านเหรียญ
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขายหุ้น LANNA หมดภายในปีนี้ โดยปัจจุบันบริษัทฯ ถือหุ้นอยู่ร้อยละ 7.47
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--