นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร BANPU กล่าวว่า บริษัทฯ ตั้งงบลงทุนในปีนี้ที่ 363 ล้านเหรียญสหรัฐ แบ่งเป็นงบลงทุนสำหรับเหมืองถ่านหินใหม่ 230 ล้านเหรียญสหรัฐ เป็นงบในจีน 120 ล้านเหรียญสหรัฐ อินโดนีเซีย 50 ล้านเหรียญสหรัฐ และงบลงทุนสำหรับทำโรงไฟฟ้าใหม่ที่จีนอีก 60 ล้านเหรียญ
ส่วนที่เหลือ 133 ล้านเหรียญ เป็นโครงการต่อเนื่องจากปีก่อน ได้แก่ การขยายท่าเรือบอนตัง ใช้เงินลงทุนประมาณ 66 ล้านเหรียญ ลงทุนในโรงไฟฟ้าบอนตัง 22 ล้านเหรียญสหรัฐ และขยายกำลังการผลิตเหมือง Bharinto
BANPU ต้องการหาแหล่งถ่านหินใหม่ในจีนมากกว่าโรงไฟฟ้า เนื่องจากโรงไฟฟ้าของบริษัทในประเทศจีนทั้ง 3 แห่ง มีต้นทุนที่สูงจากราคาถ่านหินที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เชื่อว่าผลประกอบการในจีนปีนี้จะไม่ดีเท่ากับปีก่อน สัดส่วนรายได้จากจีนในปีนี้จึงอาจลดลงเหลือ 10% ของรายได้รวม จากเดิมที่ 12% บริษัทฯ จึงไม่ได้เร่งลงทุนในโรงไฟฟ้าเท่ากับเหมือนถ่านหิน ซึ่งขณะนี้บริษัทฯ กำลังเจรจาเหมืองถ่านหินใหม่อยู่ 2-3 แห่ง
ส่วนในอินโดนีเซีย ยอมรับว่าการหาเหมืองใหม่เป็นเรื่องที่ยากมาก เพราะมีบริษัทหลายแห่งกำลังหาเหมืองใหม่เช่นกัน รวมทั้งเหมืองถ่านหินมีราคาสูงขึ้นมาก แต่บริษัทก็จะเข้าไปทำการศึกษาที่จะเข้าไปสำรวจและขุดให้ลึกกว่าเดิม จากที่บริษัทมีอยู่ 3 แห่งในปัจจุบัน เพื่อจะได้เพิ่มผลผลิตมากขึ้น คาดว่าผลสำรวจนี้จะได้ข้อสรุปในปลายเดือน ก.พ.52 ในปัจจุบันเหมือง 3 แห่งในอินโดนีเซีย ปริมาณสำรองอยู่ 230 ล้านตัน
สำหรับโครงการหงสาลิกไนต์ ซึ่งเป็นโครงการผลิตไฟฟ้า ขนาด 100 เมกะวัตต์ ใช้ถ่านหินลิกไนต์เป็นเชื้อเพลิง คาดว่าจะสามารถเซ็นสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ได้ภายในกลางปีนี้ และคาดว่าจะเริ่มผลิตได้ในปี 55 รวมทั้งสามารถเซ็นสัญญาเงินกู้วงเงิน 2 พันล้านเหรียญในปลายปีนี้ โดยจะมีการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนเป็นผู้ดำเนินการ
ทั้งนี้ โครงการหงสาลิกไนต์ BANPU ถือหุ้นอยู่ 40% บมจ.ราชบุรี ถือ 40% ที่เหลือ คือ รัฐบาลประเทศลาว
--อินโฟเควสท์ โดย เสาวลักษณ์ อวยพร/ศศิธร โทร.0-2253-5050 ต่อ 345 อีเมล์: sasithorn@infoquest.co.th--