บมจ.ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป (TU) เปิดเผยว่า บริษัทประสบความสำเร็จในการขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุน วงเงิน 4,000 ล้านบาท และหุ้นกู้สำรองเพิ่มเติมอีก 2,000 ล้านบาท รวม 6,000 ล้านบาท หลังนักลงทุนทั่วไปให้ความสนใจจองซื้อเต็มจำนวน เนื่องจากนักลงทุนมั่นใจในศักยภาพและความแข็งแกร่งของโครงสร้างธุรกิจ รวมถึงพึงพอใจผลตอบแทนในระดับ 5% ต่อปีในช่วง 5 ปีแรก ซึ่งเหมาะสมกับภาวะการลงทุนในขณะนี้
การระดมทุนครั้งนี้เพื่อใช้ในการชำระคืนหุ้นกู้เดิมที่ครบกำหนดในปีนี้ จึงไม่ทำให้เงินกู้ทั้งหมดของบริษัทเพิ่มขี้น และจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุน (ND/E) ของบริษัทฯ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 1.35-1.40 เท่า ลดลงมาอยู่ในระดับ 1.15-1.20 เท่า
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า การนำเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของบริษัทฯ ในระหว่างวันที่ 26-28 พ.ย.ที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จอย่างน่าพอใจ โดยปัจจัยที่สนับสนุนการขาย นอกจากจะมาจากความเชื่อมั่นในธุรกิจของบริษัท ซึ่งได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อองค์กรที่ระดับ A+ และความเชื่อถือหุ้นกู้ที่ระดับ A- จากทริสเรทติ้งแล้ว ยังมาจากช่วงเวลาที่เสนอขายยังเป็นช่วงที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวลดลง ทำให้นักลงทุนจำนวนมากมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่ดี โดยมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้ ซึ่งหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนของบริษัทฯสามารถตอบสนองความต้องการของนักลงทุนได้อย่างเหมาะสม
พร้อมกันนี้ บริษัทยังประสบความสำเร็จในออกหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิไม่มีประกันมูลค่า 6,000 ล้านบาทเสนอให้แก่นักลงทุนสถาบัน เมื่อวันที่ 6 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยกำหนดผลตอบแทนหุ้นกู้อายุ 7 ปี จำนวน 2,000 ล้านบาท ผลตอบแทน 2.78% ต่อปี และหุ้นกู้อายุ 10 ปี จำนวน 4,000 ล้านบาท ไว้ที่ 3.00% ต่อปี คิดเป็นผลตอบแทนเฉลี่ย 2.93% ต่อปี โดยเป็นหุ้นกู้อายุเฉลี่ยรวม 9 ปี ซึ่งปรากฏว่า มีนักลงทุนสถาบันกว่า 20 แห่งเข้าร่วมทำ Book Building และมีการจองล้นกว่าจำนวนที่เสนอขายถึง 3.5 เท่า
ตลอดระยะเวลากว่า 40 ปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์ถึงความแข็งแกร่งของ TU ที่สามารถผลักดันให้บริษัทขึ้นสู่การเป็นบริษัทชั้นนำในธุรกิจอาหารทะเลในระดับโลก ด้วยการสร้างผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย และมีแบรนด์ที่เข้มแข็งกว่า 14 แบรนด์ที่ขยายไปทั่วโลก นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนก็ยังคงเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมด้วยการจัดตั้งศูนย์นวัตกรรมไทยยูเนี่ยน เมื่อปี 58 เพื่อเป็นศูนย์กลางการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเครือทั่วโลกอีกด้วย
TU ยังเป็นหนึ่งในบริษัทอาหารทะเลชั้นนำของโลกที่คว้าอันดับ 1 ดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ในผู้นำกลุ่มอุตสาหกรรมอาหารของโลกเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน และปัจจุบัน บริษัทยังได้รับการคัดเลือกเป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์เป็นปีที่ 6 ติดต่อกัน สืบเนื่องจากกลยุทธ์ความยั่งยืนของไทยยูเนี่ยน หรือ SeaChange ที่เป็นตัวขับเคลื่อนความยั่งยืนของบริษัททั่วโลก
และล่าสุด TU ยังประเดิมอันดับ 1 ดัชนี Seafood Stewardship Index จาก 30 บริษัทด้านอาหารทะเลที่ใหญ่ที่สุดทั่วโลก โดยประเมินจากการทำงานที่ตอบโจทย์เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนโดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ซึ่งบริษัทขึ้นเป็นอันดับ 1 ใน 3 ด้าน ได้แก่ การกำกับดูแลกิจการ ระบบนิเวศ และด้านชุมชน
"การลงทุนในหุ้นกู้ด้อยสิทธิที่มีลักษณะคล้ายทุนนั้น นอกจากนักลงทุนจะพิจารณาผลตอบแทนจากการลงทุนแล้ว นักลงทุนยังต้องเชื่อมั่นในความยั่งยืนของกิจการอีกด้วย ซึ่งการตอบรับที่ดีของนักลงทุนต่อการเสนอขายหุ้นกู้ได้สะท้อนให้เห็นว่า ความทุ่มเทอย่างจริงจังของไทยยูเนี่ยนที่จะสร้างความยั่งยืนในทุกรูปแบบทั้งในปัจจุบันและในอนาคตนั้นเป็นที่รับรู้ได้สำหรับนักลงทุน" นายธีรพงศ์ กล่าว