นายจักรพงส์ สุเมธโชติเมธา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.สากล เอนเนอยี (SKE) กล่าวว่า บริษัทอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนโรงไฟฟ้าชุมชน และโรงไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์บนหลังคา (โซลาร์รูฟท้อป) เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตให้กับธุรกิจโรงไฟฟ้า คาดว่าจะเห็นความชัดเจนได้ในปี 63 เบื้องต้นคาดจะมีการลงทุนในกำลังการผลิตไม่เกิน 11 เมกะวัตต์
ทั้งนี้ บริษัทมีเป้าหมายเพิ่มกำลังการผลิตโรงไฟฟ้าเป็น 30 เมกะวัตต์ภายในปี 65 โดยมุ่งเน้นลงทุนโรงไฟฟ้าที่ให้อัตราการรับซื้อไฟดีเหมือนกับโรงไฟฟ้าชีวมวลแม่กระทิง อัตราการรับซื้อไฟอยู่ที่ 4.56 บาท/หน่วย
พร้อมกันนั้น บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 63 เติบโต 30% จากปีนี้ สัดส่วนรายได้จะมาจากธุรกิจโรงไฟฟ้า 49%, ธุรกิจสถานีก๊าซธรรมชาติหลักเอกชน (PMS) 45% และ ธุรกิจผลิตก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) 6% จากปัจจุบันที่มีสัดส่วนรายได้อยู่ที่ 14:84:2 ตามลำดับ ส่วนผลประกอบการปีนี้ยอมรับว่ารายได้คงทำไม่ได้ตามเป้าหมายที่จะเติบโตถึง 50% หลังปริมาณใช้บริการอัดก๊าซธรรมชาติลดลงตามความต้องการในประเทศ
สำหรับรายได้หลักในปี 63 ขะมาจากการจ่ายไฟฟ้าเข้าสู่ระบบ (COD) ของโรงไฟฟ้าชีวมวล แม่กระทิง กำลังการผลิตติดตั้ง 9.9 เมกะวัตต์ ซึ่งมีสัญญาขายไฟฟ้าอยู่ที่ 8 เมกะวัตต์ ให้กับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ที่จะรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีเป็นปีแรก หลังจากที่เริ่ม COD ในช่วงเดือนส.ค.62 ที่ผ่านมา
ขณะที่ธุรกิจสถานีก๊าซธรรมชาติหลักเอกชน (PMS) โดยให้บริการอัดก๊าซธรรมชาติ NGV ให้รถขนส่งของ บมจ.ปตท. (PTT) เพื่อขนส่งไปให้กับสถานีบริการ NGV นอกแนวท่อส่งก๊าซ หรือสถานีลูก คาดว่าปี 63 ปริมาณการให้บริการยังคงจะปรับตัวลดลงเล็กน้อยมาที่ 500 ตัน/วัน ตามความต้องการใช้ก๊าซธรรมชาติ NGV เห็นได้จากในช่วง 9 เดือนของปีนี้ปริมาณการให้บริการลดลงมาอยู่ที่ 502.80 ตัน/วัน จากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 568.73 ตัน/วัน
ส่วนธุรกิจผลิตก๊าซไบโอมีเทนอัด (CBG) คาดว่าจะกลับมามีกำไรได้ในปีหน้า จากการตั้งเป้าปริมาณการขายก๊าซไบโอมีเทนอัดไว้ที่ 7 ตัน/วัน โดยจะมาจากการขายให้กับโรงงานอุตสาหกรรม 5.5 ตัน/วัน และการขายหน้าปั๊ม 1-1.5 ตัน/วัน