นายภากร ปีตธวัชชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(ตลท.) กล่าวในงานสัมมนา "ส่องหุ้นไทย ฟุบ หรือไปต่อ ...รับปี 2020" หัวข้อยุทธศาสตร์ตลาดหุ้นไทย ปี 2020 ว่า ยุทธศาสตร์ของตลาดหุ้นไทยยังคงเน้นไปที่ 2 มุมมอง คือ มุมมองเชิงกว้าง และมุมมองเชิงลึก เพื่อสร้างความหลากหลายและทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้น
โดยเฉพาะการที่มีหุ้นที่เป็นบริษัทจดทะเบียนที่มีการดำเนินธุรกิจและลงทุนกระจายไปยังต่างประเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีสัดส่วนสูงถึง 47% ทำให้หุ้นที่เป็นบริษัทจดทะเบียนในประเทศไทยมีการกระจายความเสี่ยง และมีปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการเติบโตที่ไม่ได้ขึ้นกับปัจจัยในประเทศเท่านั้น แต่เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับปัจจัยภายนอกอื่นๆ ทำให้หุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นไทยถือเป็นหุ้นในระดับ Global ที่สร้างความน่าสนใจกับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
ขณะเดียวกันหุ้นไทยยังมีหุ้นจำนวนมากกว่า 41 บริษัท ที่ถูกคิดคำนวณในดัชนี MSCI และมีมากกว่า 20 บริษัท ที่ถูกคิดคำนวณในดัชนี DJSI และมี 7 บริษัทที่ก้าวขึ้นเป็นผู้นำอุตสาหกรรมของโลก ซึ่งการที่เปิดกว้างของตลาดหุ้นไทยและผลักดันบริษัทต่างๆให้มีการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศเป็นสิ่งที่ส่งผลให่ธุรกิจมีการเติบโตขึ้น และสามารถดึงดูดความน่าสนใจของนักลงทุนต่างชาติได้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความหลากลากหลายของนักลงทุนทั้งนักลงทุนรายย่อย นักลงทุนสถาบัน และนักลงทุนต่างประเทศ
ผู้จัดการ ตลท.กล่าวว่า ความหลากหลายของนักลงทุนจะส่งผลให้ตลาดหุ้นไทยมีสภาพคล่องที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ส่งผลอย่างมีนัยสำคัญต่อการตัดสินใจเข้าลงทุน ซึ่งปัจจุบันมูลค่าการซื้อขายของตลาดหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันเฉลี่ยอยู่ที่ 5.3 หมื่นล้านบาท/วัน มีมูลค่าการซื้อขายเป็นอันดับ 1 ของอาเซียน มากกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ 2.2 เท่า ประกอบกับเป็นตลาดหุ้นที่ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลที่ดีเฉลี่ย 5.4% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าอัตราดอกเบี้ยเงินฝากธนาคารพาณิชย์ไนปัจจุบัน และการเติบโตของดัชนีตลาดหุ้นไทยในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา มีการเติบโตเฉลี่ย 8% ต่อปี
นอกจากนี้ ตลท.ยังคงเดินหน้าในการสนับสนุนให้ใช้ตลาดหลักทรัพย์เป็นหนึ่งในช่องทางของการระดมทุนของภาคธุรกิจต่างๆ เพื่อนำเงินที่ได้จากการระดมทุนไปใช้รองรับการต่อยอดธุรกิจ โดย 6-7 ปีที่ผ่านมามีบริษัทจดทะเบียนที่ระดมทุนผ่าน IPO มูลค่าสูงที่สุดในเอเชีย และยังเห็นการระดมทุนผ่านตลาดรองในการเพิ่มทุนแบบ RO มีมูลค่าสูงเป็น 2 เท่าของตลาดแรก อีกทั้งยังมีกองทุนรวมโครงการสร้างพื้นฐาน และกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมาทรัพย์ (REITs) เข้ามาระดมทุนในตลาดหุ้นไทยมากขึ้น และเป็นการเพิ่มทางเลือกในการลงทุนให้กับนักลงทุน และช่วยทำให้ตลาดหุ้นไทยมีความน่าสนใจมากขึ้นได้อีก
ขณะที่แนวโน้มกลุ่มอุตสาหกรรมในตลาดหุ้นไทยที่เริ่มมีบทบาทมากขึ้นได้เปลี่ยนไปจากเดิมที่เป็นกลุ่มพลังงานและกลุ่มธนาคารพาณิชย์ มาเป็นกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับ Well-being ได้แก่ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มค้าปลีก กลุ่มท่องเที่ยว กลุ่มขนส่ง และกลุ่มสินค้าแฟชั่น ซึ่งมีขนาดรวมกันสูงถึงกว่า 30% ของขนาดตลาดรวมในตลาดหุ้นไทย ซึ่งเป็นแนวโน้มในระยะต่อไปที่นักลงทุนที่เข้ามาลงทุนในประเทศไทยจะให้ความสนใจในการลงทุนมากขึ้น
นายภากร ยังกล่าวว่า สิ่งที่สำคัญที่ ตลท.จะผลักดันในขณะนี้คือการทำให้บริษัทจดทะเบียนเป็นบริษัทที่ยังยืนที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมภิบาล (ESG) ซึ่งต่อยอดจากการทำ CSR ซึ่งบริษัทจดทะเบียนต้องคำนึงถึงความรับผิดชอบกับผู้มีส่วนเกี่ยวข้องอื่นๆ ในภาคธุรกิจของตัวเองมากขึ้น เพื่อเสริมสร้างความยั่งยืนในระยะยาว และมีผลต่อการจัดอันดับเครดิตของบริษัทจดทะเบียน หลังจากที่มีบริษัทเรตติ้งชั้นนำของโลกเริ่มให้ความสำคัญกับธุรกิจที่มี ESG และยังสนับสนุนการนำเทคโนโลยีเข้ามาส่งเสริมพัฒนาศักยภาพ และพัฒนาประสิทธิภาพของบริษัทอย่างต่อเนื่อง