นายเผดิมภพ สงเคราะห์ กรรมการผูจัดการประธานสายธุรกิจรายย่อย บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดหุ้นไทยในปี 63 มองว่าทิศทางของดัชนีจะแกว่งตัวไซด์เวย์ในช่วง 200 จุด หรือแกว่งตัวอยู่ที่ 1,500-1,700 จุด ซึ่งมองว่าปัจจัยบนพฤติกรรมของการซื้อขายหุ้นทั่วโลกของนักลงทุนได้มีการปรับเปลี่ยนตลอดเวลา และการลงทุนของนักลงทุนยังคงมีการปรับเปลี่ยนเข้าและออกทั้งตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร ซึ่งทำให้ภาพของทิศทางดัชนีตลาดหุ้นมีความผันผวน
อีกทั้งยังมีปัจจัยกดดันจากปัจจัยภายนอก โดยเฉพาะความไม่แน่นอนของสงครามการค้าที่ทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นมีการชะลอตัวเกิดขึ้น รวมไปถึงตลาดหุ้นไทยยังมองว่าจะไม่เห็นการเติบโตขึ้น แต่จะเป็นการทรงตัวในระดับเดียวกับปีที่ผ่านมา แม้ว่าภาครัฐจะมีการผลักดันการลงทุน แต่ยังมีความล่าช้าอยู่มาก ยังไม่สามารถที่จะเห็นผลบวกที่ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างมีนัยสำคัญในปีหน้า ซึ่งทำให้ภาพรวมของตลาดหุ้นไทยในปี 63 ยังมองว่าจะแกว่งตัวและไม่เคลื่อนไหวไปไหนมากจากปีนี้
นายกวี ชูกิจเกษม รองกรรมการผู้จัดการ บล.กสิกรไทย กล่าวว่า ดัชนี SET ในปี 63 จะแกว่งตัวไซด์เวย์ในกรอบ 1,450-1,700 และมีอัพไซด์จำกัด และมีแนวโน้มที่จะปรับตัวลงได้บ้าง จากปัจจัยกดดันมาจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว และความไม่แน่นอนของการเจรจาสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีน ขณะเดียวกันกำลังซื้อของโลก รวมถึงกำลังซื้อในประเทศมีการชะลอตัวเกิดขึ้น โดยเฉพาะกำลังซื้อในประเทศที่อ่อนตัวลงมาก ส่วนหนึ่งมาจากการกระตุ้นการซื้อของครัวเรือนจากภาครัฐและเอกชน ที่ส่งผลให้คนไทยนำเงินในอนาคตมาใช้เป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดหนี้สินครัวเรือนในระดับสูง กดดันต่อการชะลอตัวของการจับจ่ายใช้สอย
ขณะที่แนวโน้มของกำไรบริษัทจดทะเบียน (EPS) ในปี 63 ประเมินว่าลดลงมาอยู่ที่ 103 บาท/หุ้น ลดลงจากปีนี้ที่ 110 บาท/หุ้น ซึ่งมีผลกระทบของภาวะเศรษฐกิจไทยและเศรษฐกิจโลกที่ยังชะลอตัวมาอย่างต่อเนื่อง และการที่ EPS ลดลงส่งผลต่อความน่าสนใจของนักลงทุนลดลง โดยที่มองว่าตลาดหุ้นไทยในปีนี้และปีหน้าไม่ค่อยน่าลงทุน เพราะประเทศไทยเป็นประเทศที่เข้าสู่สงคมผู้สูงอายุ ทำให้การเติบโตในอนาคตจะไม่เห็นการเติบโตมากอย่างเช่นในอดีต ซึ่งหากมีโอกาสในการที่ไปลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศได้ให้มองตลาดหุ้นในประเทศอื่นๆเป็นทางเลือกในการลงทุน
นายเทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม ผู้ช่วยกรามการอำนวยการ สายงานวิจัย บล.เอเซีย พลัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยในปี 63 ยังไม่วิกฤตแต่ยังไม่ไปไหน โดยที่ดัชนี SET ในปี 63 จะแกว่งตัวไซด์เวย์อยู่ที่ 1,579-1,675 จุด โดยที่มีปัจจัยของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯและจีนยังสร้างความกังวลให้กับนักลงทุนต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า แต่มองว่าจะสามารถเห็นความชัดเจนของการเจรจาอย่างเร็วที่สุดในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯปลายปีหน้า แต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มของเศรษฐกิจโลกยังคงเห็นการชะลอตัวเกิดขึ้น จากความไม่แน่นอนที่ทำให้การค้าขายและการลงทุนต่างๆชะลอไป
ขณะที่กำไรของบริษัทจดทะเบียนในประเทศมีแนวโน้มถูกปรับประมาณการลดลง หลังจากสถานการณ์ของกำไรบริษัทจดทะเบียนในประเทศปีนี้เห็นการลดลงมาอย่างต่อเนื่อง 3 ไตรมาสติดต่อกัน ซึ่งได้มีการปรับประมาณการกำไรบริษัทจดมะเบียนในประเทศปีนี้ลงมาอยู่ที่ 92.11 บาท/หุ้น จากเดิมที่ 100.60 บาท/หุ้น และปี 63 ได้ปรับประมาณการลงมาที่ 95.71 บาท/หุ้น จาก 105 บาท/หุ้น ซึ่งอาจจะมีผลต่อทิศทางของดัชนีตลาดหุ้นไทยที่จะไม่ไปไหนในปีหน้า
อีกทั้งยังต้องรอดูว่าการตอบรับของกองทุนใหม่ที่จะมาแทนที่กองทุน LTF จะมีเม็ดเงินไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยเป็นอย่างไร หลังจากที่กองทุน LTF จะใช้สิทธิลดหย่อนทางภาษีในปีนี้เป็นปีสุดท้าย และเริ่มเห็นการชะลอตัวของเม็ดเงินกองทุน LTF ที่เข้ามาบ้างแล้ว เพราะในเดือนพ.ย.ที่ผ่านมามีเม็ดเงินที่เข้ามาในตลาดหุ้นไทยจากกองทุน LTF เพียง 2.5 พันล้านบาท จากปกติในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปีที่รวมกันอยู่ที่กว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งจะต้องดูว่าเดือนธ.ค.นี้จะมีเม็ดเงินจากกองมุน LTF ไหลเข้ามาในตลาดหุ้นไทยได้เท่ากับปกติหรือไม่