YNP ร่วง 4.57% โบรกฯเล็งลดประมาณการกำไรปีนี้-หลังปี 50 พลิกขาดทุน

          หุ้น YNP ราคาร่วงลง 4.57% มาอยู่ที่ 3.34 บาท ลดลง 0.16 บาท มูลค่าซื้อขาย 4.65 ล้านบาท เมื่อเวลา 10.40 น. โดยเปิดตลาดที่ 3.34 บาท ราคาปรับตัวขึ้นสูงสุดที่ 3.40 บาท และราคาปรับตัวลงต่ำสุดที่ 3.34 บาท 
          บทวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรีอยุธยา ประเมินหุ้น บมจ.ยานภัณฑ์ (YNP)เนื่องจากผลการดำเนินงานงวดปี 50 ออกมาแย่กว่าที่คาด และปรับลดลงมากที่สุดในกลุ่มชิ้นส่วนยานยนต์ ทำให้มีแนวโน้มที่จะปรับลดประมาณการกำไรในปี 51 ลดลง และแนะนำเปลี่ยนไปซื้อหุ้นไปซื้อหุ้นที่มีพื้นฐานดีกว่า ได้แก่  SAT(Fair Price 20.50),STANLY(Fair Price 173) และ IRC (Fair Price 15.20)   
          YNP Q4/50 มีผลขาดทุนสุทธิ 179 ล้านบาท โดยสาเหตุหลักมาจากการที่บริษัทมีต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้นจากการผลิตโมเดลใหม่ 2โมเดล ให้กับลูกค้า Honda และ Toyota ซึ่งช่วงแรกของการผลิตมีอัตราของเสียอยู่ในระดับสูง  รวมถึงการบันทึกต้นทุนค่าเสื่อมราคาจากโรงงานใหม่แห่งที่ 3 ที่เพิ่มขึ้น 12%YoY  เป็น 180 ล้านบาท ในขณะที่โรงงานใหม่ยังใช้กำลังการผลิตไม่เต็มประสิทธิภาพ ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นปรับลดลงจากงวด 4Q49 ที่ 13.4% เป็นติดลบ 2.3% ใน 4Q50 จากการที่บริษัทมีผลการดำเนินงานปรับลดลงต่อเนื่องจากการบริหารต้นทุนที่ไม่มีประสิทธิภาพทำให้งวดปี 50 บริษัทมีผลขาดทุนสุทธิ 240 ล้านบาท (ต่ำกว่าที่คาดว่าจะมีผลขาดทุนสุทธิ 57 ล้านบาท) ซึ่งปรับลดลงจากปี 49 ที่มีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท
          สำหรับประมาณการในปี 51 เดิมคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิพลิกกลับมาเป็นบวก 132 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากโมเดลใหม่ 3 โมเดล ที่ได้รับเพิ่มขึ้นจากลูกค้า Honda และ Toyota ซึ่งมีขนาดยอดขายประมาณ 700 ล้านบาท ส่งผลให้ยอดขายในปี 51 ของ YNP คาดว่าจะเติบโตเพิ่มขึ้น 11%YoY เป็น 5,825 ล้านบาท โดยคาดว่าบริษัทจะใช้กำลังการผลิตจากโรงงานใหม่แห่งที่ 3 เพิ่มขึ้นจากปี 50 ที่ 5% เป็น 50% ในปี 51 ซึ่งผลจาก Economy of scale ทำให้คาดว่าประสิทธิภาพในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้น 
          อย่างไรก็ตามเนื่องจากประสิทธิภาพในการทำกำไรของงวด Q4/50 ต่ำกว่าที่คาด ทำให้มีแนวโน้มที่จะปรับลดประมาณการปี 51 ลง ในขณะที่ปี 52 บริษัทแจ้งเพิ่มว่ามีการเซ็นสัญญาความร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจกับบริษัท Drivesol  Worldwide Inc. ซึ่งเป็นผู้ผลิต ขาเบรก ขาครัช รายใหญ่จากประเทศอเมริกา ซึ่งมีโอกาสที่บริษัทจะได้ออร์เดอร์ผลิตเพิ่มขึ้นในปี 52 มูลค่า ประมาณ 500—800 ล้านบาท แต่เนื่องจากยังไม่ทราบรายละเอียดที่ชัดเจน จึงยังไม่ได้นับรวมในประมาณการ โดยคาดว่าจะมีการปรับประมาณการงวดปี 51-52