นางสาวยุวดี เอี่ยมสนธิทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.ซีลิค คอร์พ (SELIC) เปิดเผยว่า บริษัทตั้งเป้ารายได้ในปี 63 เบื้องต้นจะเติบโตในระดับตัวเลข 2 หลัก ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงานและจะมีความชัดเจนภายในเดือนธ.ค.นี้
สำหรับปัจจัยสนับสนุนรายได้ให้เติบโตจะมาจากความต้องการใช้กาวอุตสาหกรรมและสติ๊กเกอร์ที่ยังขยายตัว โดยความต้องการใช้กาวอุตสาหกรรมของตลาดโลกในปี 63 คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ย 4.93% ส่วนใหญ่เติบโตมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก และความต้องการใช้กาวอุตสาหกรรมยังคงมีสูงในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับแพ็กเกจจิ้งและกระดาษ กลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม กลุ่มของใช้ภายในบ้าน กลุ่มสินค้าแฟชั่น และกลุ่มยานยนต์ เป็นต้น ขณะคาดว่าความต้องการใช้สติ๊กเกอร์ในปี 63 ยังเติบโตที่ 5.5% ส่วนใหญ่มาจากภูมิภาคเอเชียแปซิกฟิก ที่มีความต้องการใช้สูงที่สุด และกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีความต้องการใช้สติ๊กเกอร์อย่างต่อเนื่องจะคล้ายกับกลุ่มกาวอุตสาหกรรม แต่จะมีกลุ่มโลจิสติกส์และขนส่งเพิ่มขึ้นมา
อย่างไรก็ตามยอมรับภาวะเศรษฐกิจโลกที่ยังคงชะลอตัว ส่งผลต่อความต้องการของลูกค้าที่ลดลงบ้าง เนื่องจากกลุ่มลูกค้าที่สั่งซื้อผลิตภัณฑ์ของบริษัทต้องประเมินแนวโน้มความต้องการซื้อสินค้าและบริการของลูกค้าในแต่ละกลุ่มอุตสาหกรรม เพื่อวางแผนธุรกิจก่อน แต่กลยุทธ์ของบริษัทจะมุ่งเน้นทำตลาดในประเทศที่มีแนวโน้มเติบโตดี พร้อมกับหาโอกาสขยายฐานลูกค้าใหม่ในประเทศที่บริษัทมีลูกค้าอยู่แล้ว
ขณะเดียวกันบริษัทยังมีทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญในการศึกษาตลาด ซึ่งมาจากทีมขายของบริษัทที่เข้าถึงลูกค้าและเห็นสถานการณ์ต่าง ๆ ของลูกค้าว่าเป็นอย่างไรในแต่ละช่วง และนำข้อมูลมาประเมินและวางแผนกลยุทธ์ให้สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์นั้น ๆ เพื่อทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทยังสามารถเติบโตได้ พร้อมการที่บริษัทมีโซลูชั่นให้กับลูกค้าในการช่วยพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ ทั้งกาวอุตสาหกรรมและสติ๊กเกอร์ โดยวางตัวเป็น Service Provider ไปด้วย เพื่อตอบสนองความต้องการแก่ลูกค้าและช่วยเหลือลูกค้าในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่บริษัทสามารถมีส่วนร่วมได้
นางสาวยุวดี กล่าวว่า ในช่วงต้นปี 63 บริษัทจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มสติ๊กเกอร์ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการทดลองขั้นสุดท้าย และจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มเข้ามาเป็นอีกทางเลือกหนึ่งให้ลูกค้าที่สนใจได้เลือกใช้ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่เพิ่มมูลค่าให้กับบริษัท ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่จะเน้นไปที่สินค้าที่เพิ่มมูลค่ามากขึ้น ทำให้บริษัทยังคงมีการทำวิจัยและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยมหิดล วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ร่วมกัน พร้อมกับวางงบสำหรับการวิจัยและพัฒนาในปี 63 ไว้ที่ 2-3% ของยอดขาย
สำหรับการลงทุนใหม่ ๆ ในปี 63 ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการจัดทำแผนงาน ทำให้ยังไม่สามารถบอกรายละเอียดที่แน่นอนได้ แต่ในส่วนของการขยายกำลังการผลิตกาวอุตสาหกรรมและสติ๊กเกอร์นั้น บริษัทยังไม่มีแผนการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีอัตราการใช้กำลังการผลิตระดับ 70-80% ทำให้ยังมีความสามารถรองรับความต้องการใช้ของลูกค้าได้ อย่างไรก็ตามยังคงศึกษาการเข้าซื้อกิจการใหม่ที่เป็นกิจการที่เกี่ยวเนื่องธุรกิจ ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่เข้ามาเสริมและผลักดันการเติบโตของบริษัท ซึ่งจะต้องเป็นธุรกิจที่มี Synergy ต่อกัน
ด้านผลการดำเนินงานในปี 62 มั่นใจว่ารายได้จะอยู่ที่ 1.4-1.5 พันล้านบาท สูงกว่าปีก่อนที่มีรายได้เกือบ 600 ล้านบาท จากความต้องการใช้กาวอุตสาหกรรมของลูกค้ายังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และรับรู้รายได้ที่มาจากธุรกิจของกลุ่ม PMC ที่บริษัทปิดดีลซื้อกิจการไปเมื่อต้นปี 62 ทำให้ภาพรวมการดำเนินงานในปีนี้คาดว่าจะออกมาเติบโตโดดเด่น