นายแพทย์วิทยา วันเพ็ญ ผู้ช่วยผู้อำนวยการ บมจ.โรงพยาบาลพระรามเก้า (PR9) เปิดเผยว่า รายได้ปี 62 จะทำได้พลาดเป้าที่คาดว่าจะเติบโต 15% จากปีก่อน หลังในช่วง 9 เดือนแรกปีนี้ รายได้เติบโตเพียง 6.3% เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง ทำให้คนไข้ตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ที่ยากขึ้น หรือมีการประเมินค่ารักษาเทียบกับโรงพยาบาลอื่น ๆ ทำให้โอกาสในการผ่าตัดลดลง นอกจากนี้ลูกค้าต่างชาติมีสัดส่วนลดลงต่ำกว่าที่คาดหมายไว้ด้วย
สำหรับเป้าหมายปี 63 บริษัทตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่ต่ำกว่า 11% ซึ่งยังคงไปในทิศทางเดียวกับเป้าหมายระยะยาวที่วางไว้ 3 ปี (ปี 62-64) รายได้จะเติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 11% ต่อปี โดยการเติบโตมาจากการเปิดตัวอาคารใหม่ (New Building) แบ่งเป็น 2 เฟส โดยเฟสที่ 1 จะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 1/63 ส่วนเฟสที่ 2 คาดว่าจะเปิดให้บริการในช่วงไตรมาส 2/63 โดยอาคารใหม่นี้จะเปิดให้บริการก่อนจำนวน 38 เตียง และคาดว่าจะเปิดครบ 59 เตียงตามแผนในปี 65 โดยมีมูลค่าการลงทุนก่อสร้างอาคาร 1,600 ล้านบาท ที่ดินมูลค่า 321 ล้านบาท และค่าอุปกรณ์ต่างๆราว 200-300 ล้านบาท
ทั้งนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาระยะเวลาการตัดค่าเสื่อมสำหรับอาคารใหม่ดังกล่าว จากเดิมอาคารเก่าของบริษัทมีการตัดค่าเสื่อมที่ 30 ปี แต่อาคารใหม่นี้คาดว่าจะตัดค่าเสื่อมในระยะเวลานานขึ้น เพื่อสะท้อนอายุการใช้งานจริงของอาคาร และไม่ให้เกิดผลกระทบต่อกำไรของบริษัท โดยจะยื่นให้ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทพิจารณาในเดือน ม.ค. 63 พร้อมกับแผนการดำเนินงานปี 63
นอกจากนี้บริษัทยังตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนคนไข้ต่างชาติเป็นไม่ต่ำกว่า 20% จากปัจจุบันอยู่ที่ 16% โดยคนไข้ต่างชาติส่วนใหญ่ของโรงพยาบาลจะมาจากเมียนมา จีน และกัมพูชา
นายแพทย์วิทยา กล่าวว่า บริษัทเตรียมพิจารณาปรับขึ้นค่าบริการ และการปรับอัตราค่ายา โดยต้นปี 62 ได้ปรับขึ้นค่ายาไปแล้วกว่า 2-3% คาดว่าปีหน้าจะมีโอกาสปรับขึ้นอีกราว 2-3% ซึ่งเป็นการปรับขึ้นในอัตราใกล้เคียงเติม ถือว่ายังเป็นอัตราที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม ส่งผลให้บริษัทจะรักษาอัตรากำไรสุทธิไว้ในระดับไม่ต่ำกว่า 10%
ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนที่จะเซ็น MOU กับโรงพยาบาลอีก 10 แห่ง จากปัจจุบันที่เซ็น MOU ไปแล้ว 10 แห่งเพื่อส่งต่อผู้ป่วยโรคไตมายังโรงพยาบาลพระราม 9 โดยบริษัทตั้งเป้าว่าปี 63 จะมีผู้ป่วยเปลี่ยนไตที่โรงพยาบาลเกิน 100 ราย ทั้งนี้ รายได้ต่อหัวของผู้ป่วยโรคโตมีราคาสูง จะช่วยสนับสนุนรายได้รวมของบริษัทได้ และผลักดันสัดส่วนรายได้จากโรคซับซ้อนให้มากกว่า 50%