โบรกเกอร์ ต่างเชียร์"ซื้อ"หุ้น บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น (AAV) เล็งไตรมาส 4/62 พลิกเป็นกำไรจากที่ขาดทุนในไตรมาส 3/62 หลังเข้าสู่ช่วง High season และมาตรการขยายเวลายกเว้นค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) อีก 6 เดือน ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนและค่าโดยสารเส้นทางภายในประเทศมีทิศทางการฟื้นตัว
นอกจากนี้ AAV ยังมีโอกาสได้รับข่าวดีจากการที่กระทรวงการคลังอาจปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบิน ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก ขณะที่ AAV ได้ปรับลดเส้นทางที่ไม่ทำกำไร และเพิ่มความถี่ในเส้นทางเอเชียใต้ ซึ่งมีการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวในระดับสูง
พร้อมเล็งผลดำเนินงานปี 63 ฟื้นตัวดีขึ้น หลังปรับเปลี่ยนรุ่นเครื่องบินให้มีที่นั่งมากกว่าเดิม ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง และยังประหยัดน้ำมันด้วย อีกทั้งได้ทำเฮดจิ้งน้ำมันในราคาต่ำลง ขณะที่คาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ โดยคาดการณ์กำไรสุทธิในช่วง 505-561 ล้านบาทฟื้นตัวดีขึ้น
ปัจจุบัน ราคาหุ้น AAV ซื้อขายอยู่ที่ราว 2 บาท ถือว่าเทรดในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book value) ของปี 63 ที่มี 6.26 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจในการเข้าลงทุน
ราคาหุ้น AAV ปิดเที่ยงวันนี้ที่ 2.26 บาท เพิ่มขึ้น 0.02 บาท (+0.89%) ขณะที่ SET +0.81%
โบรกเกอร์ คำแนะนำ ราคาเป้าหมาย(บาท/หุ้น) ฟิลลิป (ประเทศไทย) ซื้อ 4.26 คันทรี่ กรุ๊ป ซื้อเก็งกำไร 4.20 โนมูระ พัฒนสิน ซื้อ 4.16 บัวหลวง ซื้อ 4.00 คิงส์ฟอร์ด ซื้อเก็งกำไร 3.00
นายสยาม ติยานนท์ นักวิเคราะห์การลงทุนด้านหลักทรัพย์ บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ให้เหตุผลที่แนะนำซื้อ"หุ้น AAV ว่า แนวโน้มผลดำเนินงานงวดไตรมาส 4/62 คาดว่าจะมีกำไร 271 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาส 3/62 ที่ขาดทุน 417 ล้านบาท เนื่องจากเข้าสู่ช่วง High season และคาดว่าจำนวนผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นด้วย โดยในช่วงเดือนก.ย.-ต.ค.ที่ผ่านมา ทางกระทรวงการท่องเที่ยวเปิดเผยว่าจำนวนผู้โดยสารคนจีนปรับตัวเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ มองว่าในแง่ของการดำเนินงานของ AAV ยังไปได้ดี โดยมีการทำเฮดจิ้งน้ำมันในราคาต่ำลง และในปี 63 ก็จะมีการเปลี่ยนเครื่องบิน 5 ลำมาเป็น A321 นีโอ ซึ่งจะมีที่นั่งมากกว่าเดิม 50 ที่ ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยลดลง และยังประหยัดน้ำมันด้วย อีกทั้งยังมองว่าปี 63 จำนวนผู้โดยสารจะเติบโตได้ดีกว่าปีนี้ ดังนั้น จึงคาดการณ์กำไรสุทธิไว้ที่ 561 ล้านบาท ฟื้นตัวดีขึ้นจากปีนี้ที่คาดว่าจะขาดทุน 131 ล้าบาท
นอกจากนี้ ปัจจุบันราคาหุ้น AAV ที่เคลื่อนไหวอยู่ที่ราว 2.20 บาท ถือว่าเทรดในระดับที่ต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (Book value) ของปี 63 ที่มี 6.26 บาท/หุ้น ซึ่งเป็นที่น่าสนใจในการเข้าลงทุน
อย่างไรก็ดี AAV ยังมีเรื่องน่ากังวลเกี่ยวกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงวิธีการบันทึกสัญญาเช่าใหม่ ตามมาตรฐานบัญชีฉบับที่ 16 (IFRS16) ที่จะเริ่มใช้ในปี 63 เนื่องจาก AAV มีการทำสัญญาเช่าซื้อค่อนข้างมาก โดยสิ้นไตรมาส 3/62 มีจำนวน 23,034 ล้านบาท จากเดิมจำนวนนี้ไม่ได้แสดงในงบการเงิน แต่เมื่อใช้มาตรการบัญชีใหม่ IFRS16 แล้วจะต้องนำมารวมอยู่ในส่วนของหนี้สิน ซึ่งจะทำให้ตัวเลขหนี้สินเพิ่มขึ้น และจะได้เห็น D/E สูงขึ้นด้วย ทำให้มีผลกระทบต่องบกำไรขาดทุน อีกทั้ง AAV ยังมีความเสี่ยงในเรื่องของทิศทางเศรษฐกิจ และความเปลี่ยนแปลงของค่าเงินด้วย
ด้าน บล.คันทรี่ กรุ๊ป ระบุในบทวิเคราะห์ฯว่า แนวโน้มในช่วงไตรมาส 4/62 ของ AAV คาดว่าด้วยการเข้าสู่ช่วง High Seasons ของการท่องเที่ยว รวมถึงผลดีของราคาโดยสารที่ยังมีแนวโน้มปรับขึ้นได้หลังการแข่งขันของตลาดในประเทศลดลง ทำให้คาดว่าผลประกอบการจะพลิกกลับมามีกำไรสุทธิได้ นอกจากนี้ยังมีโอกาสได้รับข่าวดีจากการที่กระทรวงการคลังอาจมีการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันเครื่องบินลง ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนได้อย่างมาก
แต่คาดว่าจะไม่เพียงพอที่จะทำให้ทั้งปีมีกำไรได้ จึงปรับประมาณการปี 62 จากที่มีกำไร 290 ล้านบาท เป็นขาดทุนเล็กน้อยประมาณ 3 ล้านบาท ส่วนปี 63 ด้วยการเปิดเส้นทางใหม่อย่างระมัดระวัง ทำให้สมมติฐานผู้โดยสารปี 63 มาอยู่ที่ระดับ 23.6 ล้านคน จากเดิมคาดไว้ที่ 25 ล้านคน และทำให้คาดกำไรสุทธิได้ใหม่ที่ 505 ล้านบาท ลดลงจากประมาณการเดิม 29%
ส่วน บล.คิงส์ฟอร์ด ระบุในบทวิเคราะห์ว่า แนวโน้มผลการดำเนินงานของ AAV จะฟื้นตัวในช่วง High Season (ไตรมาส 4/62-ไตรมาส 1/63) ส่วนการหารือกับหน่วยงานรัฐในการพิจารณาขอปรับลดภาษีสรรพสามิตสำหรับเส้นทางบินในประเทศลงนั้น ถ้าทำได้จริงจะทำให้การฟื้นตัวเด่นชัดขึ้น
สำหรับแนวโน้มไตรมาส 4/62 คาดว่าผลการดำเนินงานมีโอกาสพลิกกลับมาเป็นบวก โดยมีปัจจัยหนุนจากการเข้าสู่ฤดูท่องเที่ยวรอบใหม่ และการขยายระยะเวลามาตรการยกเลิกค่าธรรมเนียม Visa on Arrival (VOA) อีก 6 เดือนถึง 30 เม.ย.63 ขณะที่จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนและการปรับขึ้นราคาค่าโดยสารเส้นทางภายในประเทศยังอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม การฟื้นตัวในไตรมาส 4 น่าจะไม่สามารถชดเชยผลขาดทุนของ 9 เดือนแรกปีนี้ได้ ดังนั้น จึงปรับลดประมาณการปี 62-63 ลง -145% และ -41% เป็นขาดทุน 101 ล้านบาท และกำไร 524 ล้านบาท ตามลำดับ ภายใต้สมมติฐานจำนวนผู้โดยสารโต 4.3% เมื่อเทียบปีต่อปี อยู่ที่ 22.5 ล้านคน Load Factor 86% และค่าโดยสารเฉลี่ยลดลงราว 2% อยู่ที่ 1,477 บาท โดยมีความเสี่ยงจากภาวะการแข่งขันในอุตสาหกรรมที่รุนแรง การเติบโตทางเศรษฐกิจชะลอตัว และการแข็งค่าของเงินบาท
ในส่วนกลยุทธ์ของ AAV ได้ปรับลดเส้นทางที่ไม่ทำกำไร และไปเพิ่มความถี่ในเส้นทางเอเชียใต้ ซึ่งมีการขยายตัวของจำนวนนักท่องเที่ยวในระดับสูง ขณะที่การควบคุมต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงได้ทำเฮดจิ้งน้ำมันไปแล้ว 86% ของปริมาณการใช้ปีหน้า