นายอนันต์ ตั้งตรงเวชกิจ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.น้ำตาลบุรีรัมย์ (BRR) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าผลประกอบการในปี 63 จะกลับมามีกำไรได้อย่างแน่นอน โดยได้รับปัจจัยหนุนจากราคาน้ำตาลที่มีทิศทางปรับตัวดีขึ้น เนื่องจากปริมาณน้ำตาลในตลาดโลกลดลงจากผลกระทบของภัยแล้งที่เกิดขึ้นทั่วโลก คาดว่าราคาขายน้ำตาลเฉลี่ยในปีหน้าจะสูงกว่า 13.6 เซนต์ต่อปอนด์ ซึ่งเป็นราคาที่บริษัขายผลผลิตน้ำตาลไปในปีนี้
นอกจากนี้ บริษัทจะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการใหม่ๆ เข้ามาเต็มที่ด้วย คือ โรงงานบรรจุภัณฑ์ย่อยสลายได้จากชานอ้อย หรือ Sugarcane Ecoware Co., Ltd. หรือ SEW ที่ได้เริ่มจำหน่ายแล้วในเดือน ธ.ค.62 นี้ และโครงการผลิตน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ (Refined sugar) จะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเต็มปีเช่นกัน
ขณะที่บริษัทคาดการณ์ว่าปริมาณหีบอ้อยในปีฤดูการผลิต 62/63 คาดว่าจะทำได้ราว 2.7-2.8 แสนตัน ต่ำกว่าปีการผลิต 61/62 ที่มีปริมาณการหีบอ้อยที่ 3.5 แสนตัน เป็นผลมาจากภาวะฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน และเกิดภัยแล้งควบคู่ไปด้วย
"ใครที่ลงทุนในบริษัท BRR อย่าท้อ เพราะเราไม่ได้แย่ขนาดนั้น สื่งที่ลงมาเราว่ามันเกินไป ซึ่งในปี 62 นี้ถือว่าเป็นช่วงของการลงทุนขนาดใหญ่ และสถานการณ์ตลาดน้ำตาลที่ไม่เอื้อเท่าไหร่ ค่าเงินบาทก็แข็งมาต่อเนื่องทำให้ผลประกอบการของเราออกมามีผลขาดทุน แต่อย่างไรก็ตามจะเข้ามารับรู้รายได้เต็มๆ แล้ว โดยเราเชื่อว่าในปี 63 ภาพรวมผลประกอบการจะกลับมาฟื้นตัวแล้วได้แน่นอนเราเชื่อมั่นอย่างนั้น และหากว่าราคาน้ำตาลฟื้นตัวปกติ เราก็จะมีกำไรกลับไปที่ 500 ล้านบาทได้"นายอนันต์ กล่าว
อนึ่ง BRR แจ้งผลประกอบการไตรมาส 3/62 ขาดทุนสุทธิ 104.27 ล้านบาท เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 90.58 ล้านบาท ขณะที่งวด 9 เดือนแรกของปีนี้ขาดทุน 79.72 ล้านบาท เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่กำไร 197.28 ล้านบาท
นายอนันต์ กล่าอวีกว่า ในส่วนของอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) ปัจจุบันปรับตัวขึ้นไปอยู่ในระดับค่อนข้างสูงที่ 3.44 เท่า เป็นผลมาจากการที่บริษัทได้ระดมทุนผ่านการขายสินทรัพย์เข้ากองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานโรงไฟฟ้ากลุ่มน้ำตาลบุรีรัมย์ (BRRGIF) ได้รับเงินทุนราว 3,000 ล้านบาท โดยนำเงินไปลงทุนโครงการโรงไฟฟ้า โครงการบรรจุภัณฑ์ และผลิตน้ำตาลทรายบริสุทธิ์ มูลค่าราว 2,000 ล้านบาท และส่วนที่เหลืออีก 1,000 ล้านบาทเข้าซื้อหน่วยลงทุนในกองทุน BRRGIF โดยในส่วนนี้ตามหลักบัญชีจะถูกคำนวนเป็นหนี้ของบริษัท
แต่อย่างไรก็ตาม หากมองถึงอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Interest Bearing Debt) อยู่ที่เพียง 1.8 เท่า