นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวในงาน SEC Capital Market Symposium 2019 หัวข้อ "ตลาดทุนไทยจะรับมืออย่างไร ในวันที่โลกเปลี่ยนแปลง"ว่า ตลาดทุนไทยในปัจจุบันถือว่าเดินมาได้ไกล และผ่านวิกฤตอุปสรรคต่างๆ ซึ่งปัจจุบันตลาดทุนไทยมีการเติบโตขึ้นมาเป็นตลาดหุ้นชั้นนำในภูมิภาคอาเซียน และมีสภาพคล่องสูงกว่าตลาดหุ้นสิงคโปร์ แต่ตลาดทุนไทยยังคงต้องมีการยกระดับและพัฒนาให้มีประสิทธิภาพที่ดียิ่งขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน ภายใต้ความท้าทายที่ตลาดทุนไทยเผชิญอยู่
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมีการผลักดันการเติบโตให้กับตลาดทุนไทย แต่ต้องให้ความสำคัญกับการความสร้างความยั่งยืนด้วย โดยการไม่สร้างผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และสิ่งแวดล้อมต่างๆ พร้อมทั้งสร้างความรู้สึกการมีส่วนร่วมและรับผิดชอบให้กับทุกคนที่เกี่ยวข้องกับตลาดคน พร้อมกับการกล้าที่จะท้าทายในความสามารถของตัวเอง โดยนำประสบการณ์ต่างๆมาพัฒนาและถ่ายทอด เพื่อสร้างสิ่งดีๆให้กับสังคม และสุดท้ายเป็นเรื่องการขจัดความมืดในตลาดทุนที่ยังมีอยู่ให้ลดลง เพื่อทำให้นักลงทุนรายย่อยทั้งรายใหม่และรายเก่ามีความมั่นใจในการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้น
นายกอบศักดิ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยติดอยู่ในหลุมดำทำให้นักลงทุนที่เข้ามารู้ไม่เท่าทันผู้ที่ได้ประโยชน์ ทำให้มีนักลงทุนรายย่อยเป็นจำนวนมากเสียประโยชน์และไม่กล้าเข้ามาลงทุนอีก เนื่องจากตลาดหุ้นไทยยังมีคำว่า "เจ้า" และ "ปั่นหุ้น" หลงเหลืออยู่ แม้ว่าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) และคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) จะมีการตรวจสอบแล้ว แต่ยังไม่สามารถที่จะขจัดให้หมดไปได้ สิ่งนี้อาจเป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นถึงการที่ตลาดหุ้นไทยให้บริการมา 30 ปี มีจำนวนบัญชี 1.7 ล้านบัญชี แต่มีผู้ที่ซื้อขายจริงในตลาดเพียง 300,000 บัญชีเท่านั้น
ทั้งนี้ หากขจัดความมืดในตลาดหุ้นไทยออกไปได้บ้าง มองว่าจะช่วยดึงดูดให้นักลงทุนเข้ามาซื้อขายในตลาดได้มากขึ้น และควรสร้างคุณภาพของสินทรัพย์ในตลาดให้ดีมากขึ้น เพราะปัจจุบันมีบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์กว่า 700 บริษัท แต่มีหลายๆบริษัทไม่มีการเคลื่อนไหวและเติบโตขึ้น ในขณะเดียวกันตลาดหลักทรัพย์ฯ ยังคงผลักดันนำบริษัทใหม่ๆเข้ามา ซึ่งจะต้องวางเป้าหมายให้บริษัทที่จะเข้ามาต้องมีการเติบโตเพื่อเป็นสินทรัพย์ที่ดีและสร้างความน่าสนใจให้กับนักลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ ยังมีความท้าทายที่ตลาดทุนไทยเผชิญในปัจจุบัน ได้แก่ การ Disruption ซึ่งถือเป็นความเสี่ยงและเป็นโอกาสของตลาดทุนไทย ซึ่งทุกคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับตลาดทุนต้องมีการปรับตัวให้เท่าทันต่อการเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะผู้กำกับดูแลและบริษัทต่างๆที่ต้องปรับตัวให้สามารถอยู่รอดและมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยต้องยอมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น และต้องเปลี่ยนแปลงให้เร็วกว่าคนอื่น ซึ่งจะเริ่มปรับความคิดของทุกคนให้ยอมรับและเห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในทางที่จะเป็นโอกาสให้ตัวเองและส่วนรวม
ขณะเดียวกันการที่ตลาดหุ้นในเอเชียมีการเติบโตขึ้นและก้าวขึ้นมาเป็นตลาดหุ้นที่นักลงทุนในภูมิภาคอื่นให้ความสนใจ ทำให้ตลาดหุ้นไทยต้องคำนึงถึงการร่วมมือกับพันธมิตรในภูมิภาคเพื่อใช้โอกาสในการสร้างการขยายตัวของตลาดหุ้นในประเทศให้เติบโตขึ้น เช่น การที่ตลาดหุ้นไทยจะร่วมกับตลาดหุ้นฮ่องกงในการเป็นพันธมิตรกัน ทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นฮ่องกงสามารถเลือกซื้อหุ้นที่อยู่ในตลาดหุ้นได้ ทำให้ตลาดหุ้นไทยจะมีการซื้อขายที่คึกคักมากขึ้น และเป็นตลาดที่มีความน่าสนใจในการลงทุนมากขึ้น ซึ่งปัจจุจันการร่วมมือกับพันธมิตรในการต่อยอดและเพิ่มความสามารถให้กับตนเองถือเป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะความร่วมมือทำให้เกิดการเติบโตขึ้น
ส่วนปัญหาการเมืองในปัจจุบัน นายกอบศักดิ์ มองว่า ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยแค่ในระยะสั้นเท่านั้น ซึ่งนักลงทุนไม่ควรรีบตื่นตระหนกมาก เพราะพื้นฐานบริษัทจดทะเบียนไทยยังไม่ได้เปลี่ยนแปลง และยังมีศักยภาพในการแข่งขันและการเติบโตในระยะยาว โดยการชุมนุมที่เกิดขึ้นเชื่อว่าจะไม่ลุกลาม เพราะมีกลไกทางกฎหมายดูแลอยู่แล้ว ซึ่งรัฐบาลจะพยายามประคับประประคองให้ผ่านไปได้ ส่วนมาตรการควบคุมความสงบต่าง ๆ ไม่สามารถตอบได้ เพราะเป็นหน้าที่ของฝ่ายความมั่นคง
ขณะที่การพิจารณาพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) งบประมาณปี 2563 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมั่นใจว่าจะผ่านมติสภาผู้แทนราษฎรได้ในช่วงปลาย ม.ค. หรือต้นเดือน ก.พ.63 เพราะปัจจุบันฝ่ายรัฐบาลมีคะแนนเสียงเกินกว่าครึ่ง และมองว่าทุกคนอยากให้ประเทศชาติเดินหน้าต่อไปได้ ทำให้ทุกคนต้องช่วยกันผลักดันให้งบประมาณปี 63 ผ่านให้ได้ เพื่อที่จะนำงบประมาณไปใช้เพื่อการลงทุนต่างๆ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจไทยมีการเติบโตขึ้นในสภาพแวดล้อมที่เศรษฐกิจทั่วโลกมีการชะลอตัว