บมจ.โรงพยาบาลอินเตอร์เมดิคัล แคร์ แอนด์ แล็บ (IMH) กำหนดราคาเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) จำนวน 55 ล้านหุ้น ที่หุ้นละ 6.00 บาท จากมูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท โดยจะเปิดให้จองซื้อหุ้นระหว่างวันที่ 18-20 ธ.ค.นี้ และคาดว่าจะเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) ในวันที่ 26 ธ.ค.62
พร้อมแต่งตั้ง บล.เอเชีย เวลท์ เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย ขณะที่ บล.โกลเบล็ก บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ เป็นผู้ร่วมจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหลักทรัพย์
ทั้งนี้ IMH ระบุในหนังสือชี้ชวนว่า การกำหนดราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่ราคาหุ้นละ 6 บาท คิดเป็นอัตราส่วนราคาหุ้นต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น (Price to Earnings ratio: P/E ratio) ประมาณ 119.35 เท่า โดยคำนวณจากกำไรสุทธิของบริษัทในช่วง 4 ไตรมาสล่าสุด (ตั้งแต่ 1 ต.ค.61-30 ก.ย.62 หารด้วยจำนวนหุ้นสามัญทั้งหมด 215,000,000 หุ้น (Fully Diluted) ซึ่งมีค่าเท่ากับ 0.05 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ เป็นการคำนวณจากผลประกอบการในอดีต 4 ไตรมาสย้อนหลัง โดยที่ยังมิได้พิจารณาถึงผลการดำเนินงานในอนาคต
นายกอบเกียรติ บุญธีรวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บล.เอเชีย เวลท์ กล่าวว่า ความน่าสนใจของหุ้น IMH เป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการแบบเชิงรุกนอกสถานที่ (Mobile Checkup) พร้อมด้วยประสบการณ์ให้บริการตรวจสุขภาพนอกสถานที่ 23 ปี จุดเด่นคือมีกลุ่มลูกค้าครอบคลุมในหลายอุตสาหกรรมทั่วประเทศ พร้อมบริการตรวจสุขภาพครบวงจรในแบบต่างๆ เช่น ตรวจสุขภาพประจำปี, ตรวจสุขภาพแรงงานต่างด้าว, ตรวจสุขภาพตามปัจจัยเสี่ยง, ตรวจสุขภาพก่อนเข้างาน, บริการฉีดวัคซีน, บริการหน่วยปฐมพยาบาล และ CPR ด้วยศักยภาพรองรับการตรวจสุขภาพลูกค้าได้มากถึง 5,000 คน ต่อวัน และให้บริการได้สูงสุดถึง 31 จุดบริการต่อวัน จึงครอบคลุมได้เกือบทุกพื้นที่
ด้านนายสิทธิวัตน์ กำกัดวงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร IMH กล่าวว่า ราคาเสนอขายหุ้น IPO ที่หุ้นละ 6.00 บาท ถือว่าเป็นระดับราคาที่เหมาะสม เมื่อพิจารณาโอกาสในการเติบโตจากการขยายธุรกิจในอนาคต โดยในจำนวนหุ้นที่เสนอขาย 55 ล้านหุ้น ในขณะนี้ได้มีสถาบันแสดงความสนใจจองซื้อหุ้น IPO ของบริษัทจำนวน 5.54 ล้านหุ้น หรือ 10.07% ของจำนวนหุ้น IPO ที่เสนอขายทั้งหมด ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นใจในตัวบริษัทของนักลงทุนสถาบัน
ส่วนการระดมทุนในครั้งนี้บริษัทได้เม็ดเงินจากการระดมทุน จำนวน 330 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในปรับปรุงและขยายสาขาใหม่ พร้อมทั้งการจัดซื้อเครื่องมือและอุปกรณ์ของบริษัทย่อย อีกทั้งเพื่อใช้สำหรับการชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน และที่เหลือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจ
ด้วยจุดแข็งการเป็นโรงพยาบาลที่ให้บริการแบบเชิงรุกนอกสถานที่ (Mobile Checkup) ครอบคลุมลูกค้า หลายอุตสาหกรรม ทั่วประเทศ ที่มีประสบการณ์ในการให้บริการ ด้านการตรวจสุขภาพมานาน 23 ปี โดยได้รับการการันตี จากฐานลูกค้าที่แข็งแกร่ง และได้รับความไว้วางใจอย่างเสมอมา อาทิ Thai Union Group , Tesco Lotus , 7-11 , PTTEP , KFC , Makro , Homepro , Mcdonald's , King Power, Thai Honda, Western Digital, Index Living, Betagro, TQM, PT group และ Gulf เป็นต้น
พร้อมกันนี้ ยังมีบริษัทย่อย ภายใต้ชื่อ แอคคิวฟาส แล็บ เซ็นเตอร์ จำกัด ซึ่งให้บริการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมมานาน 14 ปี เช่น การตรวจคุณภาพอากาศบริเวณสถานประกอบการ การตรวจวัดคุณภาพปล่องระบาย และการตรวจวัดคุณภาพน้ำที่อุปโภคและบริโภครวมถึงน้ำทิ้ง น้ำผิวดิน โดยมีห้องปฎิบัติการได้รับมาตรฐาน ISO 9001:2015 ISO/IEC 17025:2005 และการจัดอันดับการออกผลจาก EQA:SC อันดับต้นๆ
ทั้งนี้ จากศักยภาพและความเชี่ยวชาญ จึงส่งผลให้ IMH ได้ลงนามในสัญญาแบ่งส่วนรายได้การตรวจสุขภาพกับโรงพยาบาลที่เป็นสมาชิกประกันสังคม สอดคล้องกับนโยบายรัฐบาลที่สนับสนุนด้านการให้บริการการตรวจสุขภาพ โดย IMH จะเป็นโรงพยาบาลให้บริการตรวจสุขภาพนอกสถานที่ ทั้งพนักงานบริษัทเอกชน และแรงงานต่างด้าว ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ ให้บริการตรวจสุขภาพเชิงรุกแก่ผู้ประกันตน ประมาณ 300,000 คน และมีแนวโน้มที่ผู้ใช้บริการจะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญเมื่อเทียบกับจำนวนผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ในปี 62 ที่มีถึง 11.30 ล้านคน (อ้างอิงข้อมูลจากสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ)
"จากความแข็งแกร่ง และแนวโน้มการเติบโตทางธุรกิจ จึงมีความมั่นใจว่า หุ้น IMH จะเป็นหุ้น Growth Stock ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน ด้วยนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 40%ของกำไรสุทธิ ดังนั้นด้วยนโยบายการลงทุนและขยายธุรกิจในแต่ละครั้งจะสร้างผลตอบแทนสูงสุดให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างแน่นอน"นายสิทธิวัฒน์ กล่าว
นายเอกจักร บัวหภักดี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคปปิตอล วัน พาร์ทเนอร์ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน กล่าวว่า ประเทศไทยถือเป็นฐานการผลิตที่สำคัญของธุรกิจการให้บริการตรวจสุขภาพและธุรกิจการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อม จึงทำให้ธุรกิจนี้มีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งความชำนาญในการให้บริการแก่ลูกค้าจำนวนค่อนข้างมาก จึงทำให้มีการใช้เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์เพิ่มขึ้น และช่วยเพิ่มอำนาจการต่อรองต่อผู้จัดจำหน่ายแก่บริษัท และทำให้บริษัทมีจุดแข็งในการแข่งขันด้านราคา
สำหรับการดำเนินธุรกิจใช้แนวทางบริหารรายได้เพื่อลดความเสี่ยงจากความผันผวนของรายได้ตามฤดูกาลของธุรกิจตรวจสุขภาพประจำปี จึงทำให้บริษัทมีรายได้เติบโตกระจายไปในธุรกิจบริการทางการแพทย์อื่นๆเพิ่มขึ้น โดยผลการดำเนินงานในช่วง 3 ปีย้อนหลังปี59-61 และงวด 9 เดือนแรกของปี 62 กลุ่มบริษัทฯมีรายได้รวม 285.51 ล้านบาท 273.20 ล้านบาท 320.25 ล้านบาท และ 237.32 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 37.58 ล้านบาท 14.85 ล้านบาท 14.06 ล้านบาท และ 6.72 ล้านบาท ตามลำดับ