นายจิรวัฒน์ สุภรณ์ไพบูลย์ Private Banking Group Head ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) เปิดเผยว่า ธนาคารมองว่าระดับสินทรัพย์ภายใต้การบริหารจัดการ (AUM) ในปี 63 จะใกล้เคียงกับปีนี้ที่ 7.5 แสนล้านบาท โดยที่ธนาคารจะไม่รุกการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นมาก แต่จะเน้นการบริหารสินทรัพย์และการเพิ่มมูลค่าและผลตอบแทนให้ลูกค้ามากขึ้น เนื่องจากในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า ธนาคารต้องการให้ลูกค้ามีสัดส่วนการลงทุนมากขึ้นเป็น 80% จากปัจจุบันที่ 70% และลดสัดส่วนเงินฝากเป็น 20% จากเดิม 30% เพื่อทำให้ลูกค้ามีการลงทุนเพื่อสร้างผลตอบแทนระยะยาวและได้รับผลตอบแทนที่สม่ำเสมอ
ขณะที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในปี 63 คาดว่าจะน้อยกว่าปีนี้ที่ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยที่ 24.5% ซึ่งคาดว่าผลตอบแทนในปี 63 จะไม่เกิน 10% เนื่องในปีนี้ราคาสินทรัพย์ต่างๆทั่วโลกปรับตัวเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากไปแล้ว ทำให้การที่ราคาสินทรัพย์ทั่วโลเกิดการตึงตัวและปรับเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงได้ค่อนข้างยาก ทำให้อัตราผลตอบแทนในปี 63 คาดว่าจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ยน้อยกว่าปีนี้ และยังมีความไม่แน่นอนของปัจจัยภายนอกที่อาจจะส่งผลกระทบต่อสินทรัพย์ต่างๆในปีหน้าเกิดขึ้นได้ ซึ่งยังคงต้องติดตามข่าวต่างๆอย่างต่อเนื่อง
นายจิรวัฒน์ กล่าวว่า การจัดพอร์ตการลงทุนในปี 63 อาจจะต้องมีการแบ่งเงินมาถือเงินสดมากขึ้นในสัดส่วน 5% แต่ยังสามารถลงทุนในกองหลักที่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงได้ในสัดส่วนที่มากที่สุด 55% และกระจายพอร์ตไปยังสินทรัพย์อื่น ๆ ได้แก่ การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและตราสารหนี้ สัดส่วน 17% ซึ่งมองว่าเน้นไปที่การลงทุนในตราสารหนี้ในตลาดเกิดใหม่ที่ให้อัตราผลตอบแทนที่ดีกว่าตลาดในภูมิภาคอื่นๆ การลงทุนในสินทรัพย์ที่เป็นอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐาน สัดส่วน 15% เพื่อสร้างรายได้ประจำและสนับสนุนการเติบโตของผลตอบแทนในระยะยาว และสินทรัพย์อื่นๆ 8%
นายจิรวัฒน์ กล่าวว่า ในปีหน้าธนาคารยังสานต่อการให้บริการที่ปรึกษาทางการเงินส่วนบุคคลที่ครบถ้วนที่สุดในประเทศไทย พร้อมผสานความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์ระดับโลกอย่าง Lombard Odier อย่างแข็งแกร่งมากขึ้น เตรียมเปิด KBank Private Banking Lounge แห่งแรก ณ ห้างสรรพสินค้า เอ็มควอเทียร์ เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายให้ลูกค้า เพราะอยู่ในจุดที่ลูกค้ามาเป็นประจำ และอยู่ในอาคารเดียวกับสำนักงานด้วย อีกทั้งยังเป็นการเพิ่ม Brand Visibility ตอกย้ำความร่วมมือกับ Lombard Odier
นอกจากนี้การให้คำปรึกษาเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินยังเป็นสิ่งที่ธนาคารเน้นในการบริหารให้กับลูกค้า โดยในปีนี้สิ่งที่ลูกค้ากังวลเป็นพิเศษ คือ เรื่องการวางแผนภาษี โดยเฉพาะภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งธนาคารให้คำแนะนำลูกค้าในการบริหารภาระภาษี โดยผ่านโครงการ Land Loan for Investment ซึ่งมีลูกค้าสนใจเป็นจำนวนมาก รวมมูลค่าที่ดินกว่า 1.2 หมื่นล้านบาท คิดเป็นวงเงินสินเชื่อประมาณ 6 พันล้านบาท และปีหน้าจะเพิ่มมูลค่าให้กับ Land Loan อีก 1 หมื่นล้านบาท
สำหรับผลการดำเนินธุรกิจ KBank Private Banking ในปี 62 ยังเติบโต โดยมีจำนวนลูกค้า 11,600 ราย สินทรัพย์ภายใต้การจัดการทั้งหมดประมาณ 7.5 แสนล้านบาท โดยมีสินทรัพย์ลงทุนรวมถึง 4.5 แสนล้านบาท เติบโตขึ้น 7% และมีสินทรัพย์ลงทุนซับซ้อน เติบโตขึ้นถึง 24.7% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
สำหรับมุมมองด้านเศรษฐกิจโลกที่ส่งสัญญาณชะลอตัวลงต่อเนื่อง แต่ธนาคารยังไม่คาดว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในอีก 12 เดือนข้างหน้า ทำให้ธนาคารมองว่าตลาดทุนโลกปีหน้า ยังผันผวนสูงต่อเนื่อง ความตื่นตระหนกของตลาดจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว การลงทุนจะทำได้ยากลำบากขึ้น โดยความเสี่ยงสำคัญจะมาจากความไม่แน่นอนทางการเมือง ทั้งจากข้อพิพาททางการค้า และการเลือกตั้งสหรัฐฯในปี 63
ธนาคารได้รวบรวม 5 กลยุทธ์การลงทุนที่จะแนะนำลูกค้าในปีหน้า ได้แก่ กระจายความเสี่ยงและเพิ่มความคล่องตัวของพอร์ต การป้องกันพอร์ตด้วยสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำ และกลยุทธ์การลงทุนแบบ Hedged Fund ที่ใช้กลยุทธ์การ Long และ Short หุ้นพร้อมๆกัน การเน้นกลยุทธ์ Carry ในกลุ่ม High Yield ที่ให้ดอกเบี้ยสูงกว่า ความระมัดระวังกับการลงทุนในหุ้น โดยควรเลือกกลุ่มธุรกิจที่ยังมีการเติบโตของกำไรสุทธิที่ดี เช่น หุ้นในกลุ่มเฮลธ์แคร์ เทคโนโลยี และพลังงาน ไปจนถึง หุ้นประเทศตลาดเกิดใหม่บางประเทศยังน่าสนใจ การสร้างผลตอบแทนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ทางเลือกอย่างอสังหาริมทรัพย์ หุ้นนอกตลาด และโครงสร้างพื้นฐานอาจที่มีความผันผวนทางด้านราคาตามตลาดน้อยกว่า แต่เหมาะสำหรับก้อนเงินลงทุนที่สามารถทิ้งไว้ได้ระยะยาว 5 ปีขึ้นไป และเป็นแค่ส่วนน้อยของพอร์ตเท่านั้น