หุ้น SFLEX ปิดเทรดวันแรกที่ 3.76 บาท ลดลง 0.12 บาท (-3.09%) จากราคาขาย IPO ที่ 3.88 บาท/หุ้น มูลค่าซื้อขาย 335.31ล้านบาท โดยเปิดตลาดที่ 3.64 บาท ราคาขึ้นสูงสุด 3.94 บาท และราคาลงต่ำสุด 3.50 บาท
บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ฯแนะ"ซื้อ"หุ้น บมจ.สตาร์เฟล็กซ์ (SFLEX) ประเมินมูลค่าพื้นฐานของ SFLEX ปี 2563 ที่ 5.60 บาท/หุ้น ด้วยวิธี PER method อิง PER Target ที่ 16.7x อยู่ที่ค่าเฉลี่ย PER ของธุรกิจบรรจุภัณฑ์ โดยชอบ SFLEX จาก SFLEX มีกลยุทธ์การดำเนินงานที่แข็งแกร่ง, คาดรายได้รวมเติบโตดี ทั้งในกลุ่มสินค้าอุปโภคและบริโภค, คาดความสามารถในการทำกำไรปรับตัวดีขึ้น จากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ผลักดันให้ พร้อมคาดกำไรปกติปี 2563 เติบโตโดดเด่น +97% y-y
ปี 2562 คาดรายได้รวมจะไม่สดใส -9% y-y เพราะลูกค้ารายใหญ่บางรายเปลี่ยนรายการคำสั่งซื้อเป็นสินค้าใหม่ ตั้งแต่ Q1/62 อย่างไรก็ดี โดยมองว่าเป็นเพียงปัญหาชั่วคราวเท่านั้น โดยคาดรายได้รวมปี 2563 จะกลับมาเติบโต +16% y-y จากคำสั่งซื้อของลูกค้ารายใหญ่ที่เริ่มกลับมา ทำให้ยอดขายสินค้าอุปโภคปรับขึ้นใกล้ระดับปกติอีกครั้ง +8%y-y จาก -11%y-y ในปี 2562 ประกอบกับ การที่ SFLEX ได้รับคำสั่งซื้อจากบริษัทชั้นนำในวงการอาหารในช่วงไตรมาส 3/62 ที่ผ่านมาผสานกับการที่บริษัทมีแผนนำกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม ไปรุกในตลาดกลุ่มสินค้าบริโภคมากขึ้น คาดยอดขายกลุ่มสินค้าบริโภคปี 2563 จะโตสูงกว่า +50% จากปี 62 ที่ +7%
พร้อมคาด GPM ปี 2563 จะปรับขึ้นอยู่ที่ 21.5% จากปี 2562 ที่ 18.4% เพราะไม่มีผลลบจากการปรับคำสั่งซื้อของลูกค้ารายใหญ่เหมือนปี 2562 แล้ว และการหา suppliers รายใหม่ ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพิงกับ supplier รายใดรายหนึ่งและยังทำให้มีอำนาจในการต่อรองราคาเพิ่มขึ้นด้วย รวมถึงวัตถุดิบที่นำเข้าจากต่างประเทศคิดเป็น 15-25% ของมูลค่าการสั่งซื้อวัตถุดิบทั้งหมด จะมีราคาถูกลง เพราะคาดจะได้รับประโยชน์จากแนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น อีกทั้งเริ่มได้ Economy of scales ตามคำสั่งซื้อที่เพิ่มมากขึ้น และได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันขาลง เพราะฟิล์มเป็นวัตถุดิบหลักที่ใช้ในการผลิต