นายวิน พรหมแพทย์, CFA ประธานเจ้าหน้าที่การลงทุน บลจ.พรินซิเพิล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้รับอนุมัติจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ให้เพิ่มเงินทุนจดทะเบียนของกองทุนเปิด ‘พรินซิเพิล เอ็นแฮนซ์ พร็อพเพอร์ตี้ แอนด์ อินฟราสตรัคเจอร์ เฟล็กซ์ อินคัม (Principal Enhanced Property and Infrastructure Flex Income Fund:PRINCIPAL iPROPEN) เป็น 20,000 ล้านบาท หรือ 2,000 ล้านหน่วย จากเดิมที่มีเงินทุนจดทะเบียน 5,000 ล้านบาท หรือ 500 ล้านหน่วย เพื่อขยายขนาดกองทุนรองรับผู้ที่สนใจสามารถเข้าซื้อหน่วยลงทุนเพิ่มเติม หลังจากเปิดตัวและเสนอขายหน่วยลงทุนครั้งแรก (IPO) ในเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา
กลยุทธ์ของกองทุนฯ ดังกล่าว เน้นกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดีและมีรายได้จากค่าเช่าที่มั่นคงในภูมิภาคเอเชีย – แปซิฟิก โดยเพิ่มความยืดหยุ่นในการลงทุน ให้สามารถเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานได้มากขึ้น และสามารถลงทุนในหุ้นที่เกี่ยวข้องกับอสังหาริมทรัพย์และโครงสร้างพื้นฐานอีกด้วย นอกจากนี้ ยังกระจายความเสี่ยงการลงทุนสินทรัพย์ที่หลากหลายในหลายประเทศ และขยายขอบเขตการลงทุนในสินทรัพย์แบบ Freehold (ลงทุนในกรรมสิทธิ์) ตลอดจนบริหารจัดการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญการลงทุนใน REITs ของกลุ่ม Principal
นายวิน กล่าวว่า ในขณะเดียวกันเตรรียมจ่ายเงินปันผลกองทุนพรินซิเพิล พร็อพเพอร์ตี้ อินคัม (Principal Property Income Fund :PRINCIPAL iPROP) (Class-R, Class-D) ในอัตราประมาณ 0.20 บาทต่อหน่วย สำหรับงวดบัญชี 30 พ.ย.62 นับเป็นการจ่ายเงินปันผลครั้งที่ 31 ของกองทุนฯ และเป็นการจ่ายเงินปันผลต่อเนื่องทุกไตรมาสนับตั้งแต่ไตรมาส 2/55 โดยมีกำหนดปิดสมุดทะเบียนผู้ถือหน่วยลงทุนในวันที่ 30 ธ.ค.62 ซึ่งผู้ที่ถือหน่วยลงทุนถึงสิ้นวันที่ 29 ธ.ค.นี้ จึงมีสิทธิรับเงินปันผล
ทั้งนี้ กองทุน PRINCIPAL iPROP มีนโยบายลงทุนในหลักทรัพย์หรือตราสารหมวดอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ทั้งในและต่างประเทศ โดยใช้กลยุทธ์คัดเลือกสินทรัพย์รายตัวในลักษณะ Bottom-up โดยเฉพาะกลุ่มที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีเครือข่ายผู้จัดการกองทุนของ บลจ. พรินซิเพิล จำกัด เน้นการศึกษาเชิงลึกเพื่อลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพดี มีสภาพคล่องเพียงพอ และยังคงซื้อขายในราคาที่เหมาะสม
ขณะที่ภาพรวมการลงทุนสินทรัพย์กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ ราคาสินทรัพย์กลุ่ม Yield Play Assets หรือสินทรัพย์ที่นักลงทุนเข้าลงทุนโดยคาดหวังผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผล โดยเฉพาะทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์และสิทธิการเช่า (REITs) ในไทยและสิงคโปร์ ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ปัจจัยมาจากพฤติกรรม Search for Yield หรือการมองหาสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนในรูปแบบเงินปันผลท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยต่ำที่เกิดขึ้นทั่วโลก และยังไม่มีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นในเร็วๆนี้ ประกอบกับ REITs ซึ่งสินทรัพย์ที่เข้าลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่มีรายได้จากค่าเช่าที่คาดการณ์ได้ล่วงหน้า จึงได้รับปัจจัยเกื้อหนุนในภาวะที่ตลาดการเงินมีทิศทางที่ไม่ชัดเจนและเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุดในรอบปีนี้
สำหรับภาพตลาดการลงทุน REITs ในตลาดสิงคโปร์ในช่วงเดือน พ.ย.62 ที่ผ่านมามีการปรับฐานลง มีปัจจัยหลักมาจากธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) มีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ 1.50%-1.75% ต่อปี พร้อมส่งสัญญานคงดอกเบี้ยนโยบายตลอดปี 63 หลังการประชุมเมื่อวันที่ 11 ธ.ค.62 ที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการปรับฐานของ REITs ในสิงคโปร์ครั้งนี้ นับว่ามีผลกระทบต่ำกว่าเมื่อเทียบกับ REITs ในไทย และมีมุมมองต่อการขายทำกำไรของนักลงทุนใน REITs ไทย และ REITs สิงคโปร์ครั้งนี้ ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย เนื่องจากราคาสินทรัพย์ที่ปรับเพิ่มขึ้นค่อนข้างมากตั้งแต่ต้นปี 62 ย่อมมีโอกาสถูกขายทำกำไร
"ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบันมองว่าการเลือกลงทุนในสินทรัพย์ที่มีคุณภาพเป็นรายตัว จะช่วยลดโอกาสขาดทุนแก่นักลงทุนระยะสั้น และเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว โดยคาดหวังโอกาสรับผลตอบแทนจากค่าเช่าที่ 4-6% เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีศักยภาพและคุณค่าในการลงทุน ดังนั้นในช่วงที่ราคา REITs ลดลง จึงเป็นโอกาสลงทุนเพิ่มเติมในสินทรัพย์ที่ดีและมีราคาถูก โดยแนะนำให้มีสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์ทางเลือกกลุ่มดังกล่าวประมาณ 20-30% ของพอร์ตลงทุน" นายวิน กล่าว
ทั้งนี้ กองทุน PRINCIPAL iPROP-A ในปีนี้สามารถสร้างผลตอบแทนได้ดี โดยกองทุนฯ ให้อัตราผลตอบแทนย้อนหลัง 3 เดือน อยู่ที่ 0.87%, 6 เดือน อยู่ที่ 9.54%, 1 ปี อยู่ที่ 20.54%, 3 ปี อยู่ที่ 11.18%, 5 ปี อยู่ที่ 11.03% และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อยู่ที่ 11.63%, ตามลำดับ ดัชนีชี้วัด 3 เดือน อยู่ที่ 0.28%, 6 เดือน อยู่ที่ 9.03%, 1 ปี อยู่ที่ 20.39%, 3 ปี อยู่ที่ 13.07%, 5 ปี อยู่ที่ 11.35% และนับตั้งแต่จัดตั้งกองทุน อยู่ที่ 10.75% (ข้อมูล ณ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2562)