นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการสายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บล.ทิสโก้ กล่าวว่า แนวโน้มการเคลื่อนไหวของดัชนีหุ้นไทยเช้านี้น่าจะแกว่ง Sideway ถึง Sideway up จากบรรยากาศตลาดหุ้นทั่วโลกที่เป็นเชิงบวก ทั้งในส่วนประเด็นสงครามการค้าที่คลี่คลาย และการแยกตัวของอังกฤษออกจากสหภาพยุโรป (Brexit) มีความชัดเจนขึ้น
ขณะที่ในประเทศยังมีปัจจัยขับเคลื่อนหลักจากเม็ดเงินกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) ที่คาดว่าจะไหลเข้ามาในช่วงโค้งสุดท้ายของปี และอาจจะมีแรงเก็งกำไรการทำราคาปิดสิ้นงวดบัญชี (Window dressing) เข้ามาหนุนภาพรวมการลงทุนด้วย
สำหรับตัวเลขการส่งออกเดือนพ.ย.ของไทย -7.39% จากเดือนพ.ย.61 ซึ่งนับเป็นการหดตัวมากขึ้นจากเดือนต.ค.ที่ -4.5% และเป็นการปรับตัวลงมากกว่าตลาดคาดว่าจะอยู่ที่ราว -4% ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการปิดซ่อมบำรุงของโรงกลั่นทำให้การส่งออกน้ำมันลดลง ซึ่งตลาดมองว่าน่าจะเป็นเพียงชั่วคราว ทำให้การหดตัวแรงของการส่งออกในเดือนพ.ย.ไม่ได้สร้างความประหลาดใจต่อตลาดมากนัก แต่ด้วยภาพแนวโน้มเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีมากนัก ทำให้การปรับขึ้นของดัชนีหุ้นไทยจะยังอยู่ในกรอบจำกัด
นอกจากนี้ตลาดยังจับตาสถานการณ์การเมืองในประเทศ ทั้งในส่วนของการนัดชุมนุมต่าง ๆ และการที่ศาลรัฐธรรมนูญจะนัดวินิจฉัยต่อกรณียุบพรรคอนาคตใหม่ด้วย ซึ่งคาดว่าสถานการณ์การเมืองจะมีความเข้มข้นมากขึ้นในเดือนม.ค.63
พร้อมให้แนวรับที่ 1,570 และ 1,565 จุด แนวต้านที่ 1,580-1,582 จุด
ประเด็นพิจารณาการลงทุน
- ตลาดหุ้นนิวยอร์กล่าสุด (23 ธ.ค.) ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 28,551.53 จุด เพิ่มขึ้น 96.44 จุด (+0.34%) ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,224.01 จุด เพิ่มขึ้น 2.79 จุด (+0.09%) ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 8,945.65 จุด เพิ่มขึ้น 20.69 จุด (+0.23%)
- ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดวันนี้ ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่น เพิ่มขึ้น 18.07 จุด, ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีน เพิ่มขึ้น 3.08 จุด, ดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกง ลดลง 4.90 จุด, ดัชนี TAIEX ตลาดหุ้นไต้หวัน เพิ่มขึ้น 1.56 จุด, ดัชนี KOSPI ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ เพิ่มขึ้น 2.52 จุด, ดัชนี FTSE STI ตลาดหุ้นสิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 4.21 จุด, ดัชนี FBMKLCI ตลาดหุ้นมาเลเซีย ลดลง 0.35 จุด
- นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 724.33 ล้านบาท เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.62
- ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.พ.ในตลาดไนเม็กซ์ปิดทำการล่าสุด (23 ธ.ค.62) ปิดที่ระดับ 60.52 ดอลลาร์/บาร์เรล เพิ่มขึ้น 8 เซนต์ หรือ 0.1%
- ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปิดล่าสุด (23 ธ.ค.) อยู่ที่ 0.02 ดอลลาร์/บาร์เรล
- เงินบาทเปิด 30.17 แนวโน้มทรงตัวแม้ดอลล์อ่อน-ปัจจัยในประเทศคานน้ำหนัก มองกรอบวันนี้ 30.10-30.25
- "เซ็ทเทรด" แจงเหตุ สตรีมมิ่ง "ล่ม" จากการปรับปรุงระบบ "ล็อกอิน" เวอร์ชั่นใหม่ ส่งผลนักลงทุนที่ใช้งาน หลัง 9.30 น. ไม่สามารถใช้บริการได้ เผยเป็นการล่มครั้งใหญ่สุดในประวัติการณ์นับจากเปิดให้บริการ ยันมีแผนเยียวยานักลงทุนที่เสียหาย ขณะโบรกลั่นตามสัญญาเซ็ทเทรดจ่ายเงินชดเชยสูงสุดไม่เกิน 5 แสนบาทต่อโบรก
- "สมคิด" ระดมทุกหน่วยงาน "รัฐ-เอกชน" ถกแผนอุ้ม "เอสเอ็มอี" ที่เผชิญปัญหา หวังคลอดแพ็คเกจช่วยเหลือเป็นของขวัญปีใหม่ คาดเสนอครม. 7 ม.ค.ปีหน้า ด้าน "แบงก์ชาติ" ดึงสมาคมธนาคาร-บสย. ช่วยปรับโครงสร้างหนี้ให้ลูกหนี้ เอสเอ็มอีชั้นดี
- รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดเผยว่า จะผลักดันการควบรวมบมจ.กสท โทรคมนาคม (แคท) และบมจ.ทีโอที ให้ได้ โดยจะพยายามนำเข้าพิจารณาในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันที่ 24 ธันวาคม 2562
- "ธปท." แจงไม่น่าพอใจเศรษฐกิจไทยปี 2563 โตแค่ 2.8% ชี้ยังต่ำกว่าศักยภาพ แนะปฏิรูปโครงสร้างเศรษฐกิจไทย ยกเครื่องกฎเกณฑ์ล้าสมัย ส่งออก พ.ย.ติดลบ 7.39% ลบต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ติดต่อกัน คาดทั้งปีลุ้นลบไม่เกิน 2% ส่วนปี 63 ประเมินฟื้นตัวแน่โต 3% ด้าน"สมคิด"ถกด่วนคลัง-แบงก์ชาติ-เอกชน ลุยหาแพ็กเกจอุ้มภาคเอสเอ็มอี หลังอ่วมอรทัยจากเศรษฐกิจชะลอ จี้แบงก์ปลดล็อกปล่อยกู้ ลดค่าธรรมเนียมหวังลดภาระ คาดชงครม.หลังปีใหม่ พร้อมให้ธปท.หามาตรการผ่อนคลายเกณฑ์กำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV ช่วยกลุ่มอสังหาริมทรัพย์
- นายกรัฐมนตรี มั่นใจว่าเศรษฐกิจไทยไตรมาสสุดท้ายปี 62 จะขยายตัวได้ใกล้เคียง 3% และทำให้ทั้งปีเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 2.6% หลังจากรัฐบาลได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งช่วงเดือน ส.ค.62 และมาตรการปลายปี เชื่อว่าจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 3 ต่อเนื่องไตรมาสที่ 4 รวมไปถึงไตรมาสแรกของปี 63 ด้วย พร้อมคาดเดือนก.พ.63 ได้ใช้งบประมาณปี 63
- รมว.คมนาคม โชว์ผลงานชิ้นโบแดง ยุติข้อพิพาท "ค่าโง่ทางด่วน" ระหว่าง กทพ.-BEM เตรียมเสนอ ครม.วันนี้ไฟเขียวขยายสัญญาสัมปทานทางด่วน BEM ทุกสัญญาที่มีข้อพิพาทอีก 15 ปี 8 เดือน สิ้นสุด 31 ต.ค.78 พร้อมให้คู่กรณีถอนคดีฟ้องร้องกัน 17 คดี และ BEM ต้องเปิดให้ประชาชนใช้ทางด่วนฟรีทุกด่านที่มีข้อพิพาท ในวันหยุดนักขัตฤกษ์ยาวถึงปี 78 แลกหนี้ 5.8 หมื่นล้านบาท
*หุ้นเด่นวันนี้
- BEM (เอเซีย พลัส) แนะนำลงทุนเมื่อราคาอ่อนตัว จากคาดว่ากำไรปกติปี 2563 จะเติบโตอย่างโดดเด่น 39.5% YoY จากการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายช่วงบางซื่อ-ท่าพระ ในเดือน มี.ค.63 ทำให้รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินให้บริการครบลูปอย่างเต็มรูปแบบ และค่าตัดจำหน่ายทางด่วนที่ลดลง รวมทั้ง Upside เพิ่มเติมจากโครงการใหม่ที่จะเข้าประมูลในปีหน้า ได้แก่ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม และรถไฟฟ้าสายสีม่วงส่วนต่อขยาย โดยมองว่าในภาวะเศรษฐกิจที่โตต่ำ BEM เป็นหนึ่งในหุ้น Defensive ที่น่าสนใจ ส่วนการที่ครม.จะพิจารณาวันนี้กรณีให้มีการต่อสัญญาสัมปทานทางด่วน เป็นระยะเวลา 15 ปี 8 เดือน แลกกับการยุติข้อพิพาทกับกทพ.นั้น ต่ำกว่าที่ฝ่ายวิจัยและตลาดคาดการณ์ไว้ว่าจะได้ต่อสัญญาทางด่วน 30 ปี นอกจากนี้ยังมีเงื่อนไขพิเศษ คือ ขอให้ BEM งดเว้นการจัดเก็บค่าผ่านทางในวันหยุดนักขัตฤกษ์ตลอดอายุสัญญาสัมปทาน ซึ่งจะมีประมาณ 20 วันต่อปี และรวมทั้งสิ้น 300 วัน ส่งผลให้รายได้ของ BEM จะหายไปประมาณ 1 หมื่นล้านบาท เชื่อว่าประเด็นเงื่อนไขข้อยุติข้อพิพาทจะส่งผลเชิงลบต่อราคาหุ้นของ BEM ในระยะสั้น โดยฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าเหมาะสม กรณีได้รับการต่ออายุสัญญาสัมทานทางด่วน 15 ปี เท่ากับ 10.90 บาท ลดลงจากเดิมที่ประเมินต่ออายุสัญญาสัมปทานทางด่วน 30 ปี ที่ 11.80 บาท
- BRF (ฟินันเซีย ไซรัส) แนะนำ"ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 4.60 บาท โดยราคาหุ้นปรับลงเปิดโอกาสในการสะสมรอบใหม่ เพราะ 2563PE อยู่ที่ 19 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่มอาหารที่ 24 เท่า ขณะที่กำไร 4Q62 มีแนวโน้มดีต่อเนื่อง เบื้องต้นคาด 100 ล้านบาท ใกล้เคียงไตรมาสก่อนและ +11% Y-Y ซึ่งจะทำให้กำไรทั้งปี +13% เป็น 378 ล้านบาท และคาดว่ากำไรปี 2563 โตอีก 14% เป็น 432 ล้านบาท จากการเริ่มรับรู้รายได้โรงงานผลิตเกล็ดขนมปังแห่งแรกที่เวียดนามและอินโดนีเซีย ซึ่งมีคำสั่งซื้อรออยู่แล้ว ส่วนโรงงานในไทยจะรองรับคำสั่งซื้อของลูกค้าในประเทศได้เพิ่มมากขึ้นหลังโยกออร์เดอร์ลูกค้าไปเวียดนามและอินโดนีเซีย และดอกเบี้ยจ่ายลดลงหลังคืนหนี้
- MINT (กรุงศรี) แนะ"ซื้อ"ราคาเป้าหมาย 46 บาท โดยให้เป็น Top pick กลุ่มท่องเที่ยว ได้ประโยชน์โดยตรงจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นตาม High season ของธุรกิจ, ขาย Trivoly Hotel 3 แห่งช่วยลดแรงกดดันจากการเพิ่มทุน อีกทั้งยังมีการกระจายความเสี่ยงดีสุดเมื่อเทียบกับผู้ประกอบการโรงแรมทั้งหมด (อาหาร 50%, โรงแรม 50% และ รายได้ในประเทศ 50%, ต่างประเทศ 50%)