นายปรีชา เตชะไกรศรี กรรมการผู้จัดการ บมจ.ที.กรุงไทยอุตสาหกรรม (TKT) เปิดเผยว่า บริษัทมั่นใจว่าผลการดำเนินงานในปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรครั้งแรกในรอบ 3 ปี หลังจากที่มีผลขาดทุนมาต่อเนื่องในช่วงปี 59-61 เนื่องจากภาวะของตลาดรถยนต์ชะลอตัว ส่งผลให้ยอดการผลิตรถยนต์ชะลอตัวไปด้วย และค่ายรถยนต์เลื่อนการออกรถโมเดลใหม่ แต่ในช่วงปลายปีนี้บริษัทได้อานิสงส์จากลูกค้าค่ายรถยนต์รายใหญ่ทยอยออกโมเดลรถใหม่มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะรถอีโคคาร์ที่เพิ่งเปิดตัวไป และจะเริ่มส่งมอบให้กับลูกค้าช่วงต้นปีหน้า ทำให้เริ่มการผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก
การที่โมเดลรถยนต์ใหม่ทยอยออกสู่ตลาดเป็นปัจจัยหนุนสำคัญที่ทำให้ภาพรวมของผลการดำเนินงานเริ่มเห็นการฟื้นตัวขึ้น และจากการแข่งขันกันรุนแรงในตลาดรถยนต์ โดยเฉพาะกลุ่มรถอีโคคาร์ ส่งผลบวกต่อบริษัทที่จะมีรายได้เข้ามาตลอดช่วงระยะเวลาของรถยนต์โมเดลนั้นๆ และรถอีโคคาร์เป็นกลุ่มที่ได้รับความนิยมและมีปริมาณการขายมาก ส่งผลดีต่อการสั่งผลิตชิ้นส่วนรถยนต์
ดังนั้น บริษัทจึงคาดว่ายอดขายในปีนี้จะทำได้มากกว่าที่คาดการณ์ไว้มาอยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 1.17 พันล้านบาท แม้ว่าภาพรวมตลาดรถยนต์จะยังคงชะลอตัวก็ตาม โดยยอดผลิตรถยนต์ในปีนี้อยู่ที่ราว 1.7 ล้านคัน ยังต่ำกว่าเป้าของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ที่ 2 ล้านคัน
นอกจากนี้ การที่บริษัทได้ปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พร้อมกับการทำให้การผลิตเกิดของเสียลดลง ส่งผลให้ต้นทุนการผลิตลดลงและทำให้ผลการดำเนินงานกลับมาฟื้นตัวขึ้นได้ โดยในปี 63 บริษัทยังคงมีแผนการปรับปรุงประสิทธิภาพเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพที่ดีขึ้นและช่วยลดต้นทุนการผลิตอย่างต่อเนื่อง วางงบลงทุนไว้ที่ 40 ล้านบาท
ส่วนเป้าหมายรายได้ในปี 63 บริษัทตั้งเป้าเติบโตไว้ที่ 5% โดยยังมีปัจจับหนุนจากการทยอยเปิดตัวโมเดลใหม่ของค่ายรถยนต์ที่มีอย่างต่อเนื่องในปีหน้า และการเริ่มส่งมอบรถอีโคคาร์โมเดลใหม่ในช่วงต้นปีจะเป็นปัจจับหนุนที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น
นายปรีชา กล่าวว่า แม้ว่าภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวจะส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ และทำให้การผลิตรถยนต์ชะลอตัวลงไปบ้าง แต่ค่ายรถยนต์หลายค่ายยังมีการแข่งขันเพื่อทำยอดขายให้ดีขึ้นและรักษาส่วนแบ่งตลาดของตนเองไว้ ประกอบกับมีการเปลี่ยนแปลงโมเดลของรถยนต์อย่างต่อเนื่องตามระยะเวลาที่ครบกำหนดของโมเดลนั้นๆ ทำให้มีออเดอร์ทยอยเข้ามาให้บริษัทเตรียมการผลิต ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีมูลค่างานในมือ 1 พันล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู่อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 63 เป็นต้นไป ทำให้ทิศทางของบริษัทจะเริ่มเห็นการฟื้นตัวที่ดี